BRICS คืออะไร? ทำไมจึงมีอิทธิพลต่ออนาคตการเงินโลก

22 ต.ค. 2567 | 11:17 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ต.ค. 2567 | 16:25 น.

ไขข้อข้องใจ "กลุ่ม BRICS คืออะไร" กับภารกิจเร่งขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ พร้อมผลักดันระบบการเงินใหม่ หลีกเลี่ยงการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางความขัดแย้งยูเครน

การประชุมสุดยอด BRICS SUMMIT คืออะไร? ครั้งล่าสุดที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากนานาชาติให้รัสเซียยุติสงครามในยูเครน ผู้นำจากจีน อินเดีย บราซิล และชาติอาหรับร่วมกดดันประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ให้แสวงหาทางออกสันติภาพ ขณะที่ปูตินยังยืนยันไม่ยอมยกดินแดนยูเครนที่ยึดครอง

BRICS ซึ่งประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ปัจจุบันเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจสูง คิดเป็น 35% ของเศรษฐกิจโลก และเป็นกลุ่มที่ครอบคลุมประชากรโลกเกือบครึ่งหนึ่ง การขยายตัวของ BRICS ครั้งนี้ยังมีชาติอื่นๆ อย่างอิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเอธิโอเปียร่วมประชุมด้วย

ในขณะที่กลุ่ม G7 ซึ่งเป็นกลุ่มชาติอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ตะวันตก มีส่วนแบ่งเศรษฐกิจโลกลดลง BRICS กำลังมองหาการเติบโตที่ทวีขึ้นเป็น 37% ภายในสิ้นทศวรรษนี้ นับเป็นการท้าทายต่อบทบาทของประเทศตะวันตกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งภายในกลุ่ม BRICS เองยังคงอยู่ จีนและอินเดียซึ่งเป็นลูกค้าหลักของน้ำมันรัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ยากลำบาก ในขณะที่ชาติอาหรับและอิหร่านยังมีความขัดแย้งทางการเมืองมาอย่างยาวนาน

เครดิตภาพ Reuters

ปูตินได้กล่าวว่า "BRICS ไม่ได้ต่อต้านใคร แต่เป็นกลุ่มที่ทำงานร่วมกันบนพื้นฐานของค่านิยมและผลประโยชน์ร่วมกัน" ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของกลุ่มในการสร้างเศรษฐกิจที่ไม่ได้พึ่งพาตะวันตก

BRICS คืออะไร?

กลุ่ม BRICS คือการรวมตัวของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูง ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ชื่อ "BRICS" มาจากตัวอักษรย่อของชื่อประเทศเหล่านี้ กลุ่มนี้ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 2544 โดย จิม โอนีลล์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทโกลด์แมน แซคส์ ในงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ในศตวรรษที่ 21 ต่อมาในปี 2553 แอฟริกาใต้ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก

BRICS มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในระดับโลก เพื่อสร้างความสมดุลในการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งนี้ BRICS ยังมองหาทางเลือกใหม่ในการชำระเงินระหว่างประเทศ ซึ่งจะไม่ต้องพึ่งพาการเงินและนโยบายของตะวันตก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากชาติตะวันตก

ปัจจุบัน กลุ่ม BRICS มีบทบาทสำคัญในเวทีการเมืองและเศรษฐกิจโลก โดยเป็นตัวแทนของประชากรโลกเกือบ 45% และมีส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจประมาณ 35% ของโลกตามข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ขณะที่คาดว่าภายในสิ้นทศวรรษนี้ BRICS จะขยายบทบาทเพิ่มขึ้นเป็น 37%

เครดิตภาพ Reuters

กลุ่ม BRICS มีแนวคิดเกี่ยวกับการสร้างสกุลเงินใหม่เพื่อลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและยูโร สาเหตุหลักที่กลุ่ม BRICS พิจารณาสร้างสกุลเงินใหม่นั้น เนื่องมาจากความท้าทายทางการเงินระดับโลกและนโยบายต่างประเทศที่เข้มงวดของสหรัฐฯ ซึ่งสมาชิกในกลุ่มเชื่อว่าสกุลเงินใหม่นี้จะส่งเสริมประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเองได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังลดความผันผวนจากการใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็นเกณฑ์กลางในตลาดการค้าโลก

แม้จะยังไม่มีการกำหนดวันที่แน่นอนในการเปิดตัวสกุลเงินใหม่ แต่แนวคิดนี้ได้รับการหารืออย่างจริงจังในที่ประชุมสุดยอด BRICS ครั้งที่ 14 ในปี 2565 โดยประธานาธิบดีรัสเซียได้กล่าวถึงแผนการสร้าง "สกุลเงินสำรองโลกใหม่" ผู้นำของประเทศสมาชิก BRICS ยังเห็นด้วยในเรื่องนี้ เช่น ประธานาธิบดีบราซิลที่สนับสนุนการสร้างสกุลเงินเพื่อใช้ในการค้าระหว่างกลุ่ม BRICS

เครดิตภาพ Reuters

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมสุดยอดนี้ รัสเซียพยายามผลักดันการสร้างระบบการชำระเงินระหว่างประเทศที่ไม่ต้องพึ่งพาตะวันตก เพื่อลดผลกระทบจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่ตะวันตกกำหนดต่อรัสเซีย

นอกจากนี้ ปูตินยังถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับโอกาสในการยุติสงครามในยูเครน ปูตินตอบกลับอย่างชัดเจนว่ารัสเซียจะไม่ยอมถอยจากดินแดนที่ยึดครองในยูเครน ทั้งนี้ รัสเซียยังคงควบคุมดินแดนประมาณ 20% ของยูเครน รวมถึงแหลมไครเมียที่ถูกผนวกเข้าในปี 2557

การเจรจาสันติภาพยังคงไม่มีความคืบหน้า แม้จะมีการหารือในอิสตันบูลเมื่อเดือนเมษายนปี 2565 ที่ผ่านมา แต่ปูตินย้ำว่าข้อตกลงใดๆ จะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ด้านความมั่นคงระยะยาวของรัสเซียในยุโรป

ในการประชุมก่อนหน้านี้ ปูตินได้พบกับประธานาธิบดีชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน แห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งทั้งสองผู้นำให้คำมั่นว่าจะทำงานร่วมกันเพื่อหาทางออกสำหรับวิกฤตในยูเครน

แม้ว่า หลุยส์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิลจะไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ได้ เนื่องจากคำแนะนำทางการแพทย์ แต่ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี แห่งอินเดียได้เข้าร่วมประชุมพร้อมกับการแสดงจุดยืนร่วมกัน