บ้านปูเน็กซ์ ทุ่ม 295 ล้าน รุกสถานีสลับแบตฯ มอเตอร์ไซค์อีวี

คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ มี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ได้กำหนดนโยบายการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อรักษาฐานการผลิตยานยนต์ของประเทศให้สอดรับกับทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยี และความต้องการของตลาดยานยนต์ในประเทศและต่างประเทศ ที่กำหนดเป้ามาหมายการผลิตและการใช้ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ในปี 2573 หรือ 30@30

โดยเฉพาะในส่วนของรถจักรยานยนต์ตั้งเป้าหมายการผลิตไว้ที่ 6.75 แสนคัน และมีเป้าหมายส่งเสริมการใช้อยู่ที่ 6.5 แสนคัน พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายส่งเสริมการตั้งสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ สำหรับรถจักรยานยนต์ไว้ถึง 1,450 สถานี

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาภาครัฐได้มีมาตรการส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 150,000 บาท จะได้เงินอุดหนุน 18,000 บาทต่อคัน ส่งผลให้ปัจจุบันมียอดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมแล้วราว 22,152 คัน ( ข้อมูล ณ 31 มี.ค.66)

จากเป้าหมายและมาตรการส่งเสริมดังกล่าว ทำให้ธุรกิจการสลับเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ได้รับความสนใจมากขึ้น จากปัจจุบันมีผู้ประกอบการหลายราย อาทิ บริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด (Swap & Go) บริษัทย่อยของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ลงทุนเปิดสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ สำหรับรถจักรยานยนต์ทั้งในและนอกสถานีบริการนํ้ามัน PTT Station แล้วราว 21 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 150 กิโลเมตรในเขตกรุงเทพมหานคร และบริษัท เอช เซม มอเตอร์ จำกัด หรือ H SEM POWER STATION ตามสถานีบริการนํ้ามัน ธนาคาร และสาขาต่าง ๆ ของเอช เซม ราว 34 สถานี บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่(WINNONIE) ราว 16 แห่ง ในเขตกรุงเทพมหานครและสมุทรปราการ ล่าสุดบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กำลังจะก้าวสู่ธุรกิจนี้อย่างเต็มตัว

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าลงทุนใน บริษัท โอยิกะ (Oyika) สตาร์ทอัพสิงคโปร์ ผู้ให้บริการโซลูชันสลับแบตเตอรี่สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (Battery Swap Solutions) ในรูปแบบโมเดล Battery-as-a-Service (BaaS) ด้วยเงินลงทุน 8.75 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 295 ล้านบาท เพื่อร่วมผลักดันการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ให้เพิ่มมากขึ้นด้วยการเดินหน้าขยายบริการและเครือข่ายสถานีสลับแบตเตอรี่ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การผนึกความร่วมมือระหว่างบ้านปู เน็กซ์ และโอยิกะ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการส่งเสริมอนาคตการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้สะอาดและชาญฉลาดมากขึ้น เนื่องจากสามารถลดข้อจำกัดและอุปสรรคในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์( CO2) รวมถึงยังสนับสนุนแผนการขยายบริการของโอยิกะไปยังทั่วภูมิภาคซึ่งปัจจุบันโอยิกะ มีปัจจุบันโอยิกะมีเครือข่ายสถานีสลับแบตเตอรี่ในประเทศอินโดนีเซีย 75 สถานี และกัมพูชา 12 สถานี และกำลังรุกเข้าสู่ประเทศไทยโดยการจับมือกับบ้านปู เน็กซ์

ทั้งนี้ โอยิกะมุ่งพัฒนาบริการและขยายเครือข่ายสถานีสลับแบตเตอรี่สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า แบบเปลี่ยนได้ทันทีโดยไม่ต้องรอชาร์จ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งเรื่องความสะดวก รวดเร็ว ช่วยลดระยะเวลาในการชาร์จ และลดค่าใช้จ่ายด้านแบตเตอรี่

นายสินนท์ กล่าวอีกว่า สำหรับการดำเนินธุรกิจดังกล่าว เพื่อสอดคล้องกับกลุ่มบ้านปู ที่มุ่งมั่นสู่การใช้พลังงานสะอาดที่ยั่งยืนและฉลาดยิ่งขึ้น อีกทั้งสอดรับกับเทรนด์พลังงานโลก ที่เชื่อว่าเทคโนโลยีสลับแบตเตอรี่และบริการในรูปแบบ Battery-as-a-Service จะช่วยยกระดับตลาดยานยนต์ไฟฟ้าและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในการเดินทางและขนส่งในภูมิภาคมากขึ้น โดยบ้านปู เน็กซ์จะสนับสนุนโอยิกะในการขยายเครือข่ายและการให้บริการในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงหาโอกาสในการนำโซลูชั่นของโอยิกะไปต่อยอดให้บริการกับลูกค้าในธุรกิจอี-โมบิลิตี้ของบ้านปู เน็กซ์

 “บ้านปู เน็กซ์ ดำเนินธุรกิจ 5 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจแบตเตอรี่ ธุรกิจซื้อขาย ธุรกิจอี-โมบิลิตี้ และธุรกิจพัฒนาเมืองอัจฉริยะและจัดการพลังงาน โดยวางตัวเองเป็น Long-term Partner พร้อมมุ่งมั่นสู่การเป็น Net-Zero Energy Provider ให้กับทุกธุรกิจและอุตสาหกรรม เพื่อช่วยให้ทุกองค์กรบรรลุเป้าหมาย ESG พร้อมสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน”

มร.จินสี ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอยิกะ จำกัด กล่าวว่า การร่วมมือกับบ้านปู เน็กซ์ จะช่วยขยายตลาดสู่ประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงแรกเริ่มจะให้บริการกลุ่มธุรกิจขนส่งหรือกลุ่มธุรกิจ Delivery Service เป็นหลัก โดยหวังว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนการใช้โซลูชั่นพลังงานสะอาดในภาคการเดินทางและขนส่งให้แพร่หลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ทุกองค์กรบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมลดค่าใช้จ่ายไปพร้อมกัน”

หน้า 7 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3887 วันที่ 14 – 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2566