สร้างกระแสฟรีเวอร์ ยอดลงทะเบียนจองสิทธิ์ ถล่มทลาย หลังเปิดตัวโครงการ บ้านเพื่อคนไทย นโยบายเรือธงรัฐบาลแพทองธาร และพรรคเพื่อไทย มีหมุดหมาย สร้างโอกาส “First Jobber” หรือวัยเริ่มสร้างตัว เข้าถึงที่อยู่อาศัย แนวเส้นทางรถไฟฟ้า และระบบรางบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)ทั่วประเทศ จำนวน 1- 3แสนหน่วยภายในสมัยรัฐบาล หรือปี2570
โดยชูจุดขาย ผ่อนถูกไม่ต้องมีเงินดาวน์ เพียงเดือนละ4,000บาท ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) 30ปี +30ปี และหากกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ์มีผลบังคับใช้จะขยายการอยู่อาศัยได้ยาวถึง99ปี เบื้องต้น นำร่อง 4 พื้นที่ศักยภาพ ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมได้แก่ บางซื่อกม.11 (วิภาวดี) ธนบุรี(ศิริราช) เชียงราก และเชียงใหม่ ในราคาเริ่มต้น1.2ล้านบาทต่อหน่วยภายใต้การดำเนินโครงการโดยบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) บริษัทลูกของการรถไฟฯ
โดยวันแรก (17ม.ค.68) พบว่ามีผู้แสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ 152,864 ราย และผ่านการกลั่นกรองคุณสมบัติเบื้องต้น (Pre-Approve) จากธอส. จำนวน 49,844 ราย ทำเลที่มีคนลงทะเบียนมากที่สุด คือ พื้นที่ บางซื่อ กม.11 (วิภาวดี) ตามด้วยเชียงใหม่ พื้นที่ธนบุรี (ศิริราช) และพื้นที่เชียงราก จังหวัดปทุมธานี ตามลำดับ สะท้อนว่า มีคนจำนวนไม่น้อยต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองเดินทางสะดวกใกล้แหล่งงาน
“กม.11”ทะลัก 1.5แสนคน จ่อขยายหมื่นหน่วย
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมฐานะกำกับดูแล “เอสอาร์ที แอสเสท” ให้สัมภาษณ์ “สื่อในเครือเนชั่น” ว่า โครงการ บ้านเพื่อคนไทย ได้รับการตอบรับที่ดีตั้งแต่วันแรก และยังมีประชาชนจองสิทธิ์ต่อเนื่อง (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ม.ค.68 เวลา 11.00 น.) มีผู้เข้าชมผ่านเว็บไซต์ บ้านเพื่อคนไทยประมาณ 58 ล้านวิว มีตัวเลขแสดงความจำนงขอใช้สิทธิ์เกือบ 2.2 แสนราย ผ่าน Pre-Approve ของธอส. ประมาณเกือบ 1.2 แสนราย และยังเปิด ให้ประชาชน จองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะถึงวันที่ 31 มกราคมนี้ หรือไม่นายสุรพงษ์ ยืนยันว่า ทีมงานอยู่ระหว่างประเมินอีกครั้ง
ทั้งนี้ 4พื้นที่ มีจำนวนหน่วย 4,800 หน่วย พบว่า บางซื่อกม. 11 (วิภาวดี) มีประชาชนแสดงเจตจำนง มากถึง 1.5 แสนราย ในทางกลับกันมีจำนวนห้องชุดรองรับระยะแรกได้เพียง 1,232 หน่วย เนื่องจากเป็นทำเลศักยภาพใจกลางเมือง ย่านพาณิชยกรรมขนาดใหญ่ ศูนย์กลางการเดินทางซึ่งเมื่อพื้นที่ดังกล่าวมีดีมานด์จำนวนมาก คาดว่าทีมงานจะศึกษาและมีแผนในระยะต่อไปซึ่งอาจขยายได้ถึง 10,000 หน่วย รวมถึงเพิ่มความสูงของโครงการ โดยยอดที่ ผ่าน Pre-Approve ของธอส. จะสร้างรองรับปริมาณดังกล่าวจนกว่าจะไม่มีที่ดินให้สร้างเมื่อถึงจุดนั้น จึงจะตัดยอดที่ค้างดังกล่าวทิ้งไป
ปั้น 1-3 แสนหน่วยภายในปี 70
นายสุรพงษ์มองว่า ทำเลบางซื่อกม.11 (วิภาวดี) มีความต้องการมากที่สุดรองลงมาคือธนบุรี และจะมีโครงการเฟส2 เฟส 3 ต่อเนื่อง ตามจังหวัดหัวเมืองใหญ่ จังหวัดทำเลศักภาพ ชุมชนขนาดใหญ่ มีระบบรางเชื่อมถึง โดยตั้งใจว่า ภายในสมัยของรัฐบาล หรือภายในปี 2570 จะพัฒนาโครงการบ้านเพื่อคนไทย 1-3 แสนหน่วย แต่เนื่องจากแนวโน้มความต้องการค่อนข้างสูงซึ่งอาจจะมากกว่าแผนที่กำหนดไว้ ดังนั้น ทีมงานต้องทบทวนเรื่องของจำนวนประชาชนที่ให้ความสนใจ
สะท้อนได้ว่า เราสร้างดีมานด์ล่วงหน้าดังนั้นทำเลต่อไปต้องวางแผนและพัฒนาออกมารองรับกับปริมาณ เพราะมองเห็นดีมานด์คงค้าง จำนวนมาก
ทำเลระยะต่อไป คุณสมบัติ
1.หัวเมืองใหญ่
2.เกาะติดระบบราง
3. มีชุมชนหนาแน่นที่อยู่อาศัยไม่สะดวกสบาย
ซึ่งจะเป็นตัวแปรนำมา พิจารณาพัฒนาโครงการในระยะต่อไป
“บางซื่อ กม.11 (วิภาวดี ) ยังเพิ่มโครงการได้ ด้วยจำนวนหน่วยและความสูง แต่เพิ่มได้มากเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับทีมงาน วาง องค์ประกอบต่างๆ ของห้องและขึ้นอยู่กับขนาดห้อง เช่น 30 ตารางเมตร 40 ตารางเมตร 45 ตารางเมตร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ต้องนำมาวิเคราะห์ว่าตลาดผู้บริโภค กับกลุ่มเป้าหมายที่เราวางไว้ต้องการประมาณไหน อย่างไรก็ตาม ทำเลบางซื่อกม.11 มีคนสนใจจองสิทธิ์ 1.5 แสนราย จากจำนวน 2 แสนราย ซึ่งอยู่ระหว่าง Pre-Approve ของธอส.”
ดัน First Jobber ขับเคลื่อนศก.
นายสุรพงษ์ ขยายความต่อว่า ต้องยอมรับว่าโครงการบ้านเพื่อคนไทยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งมีการกำหนดเงื่อนไข ต่างๆ เช่น รายได้ไม่เกิน 50,000 บาท ต่อเดือน มีสัญชาติไทย ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวอาจจะผ่อนปรนตามความเหมาะสม โดยมีเป้าหมายต้องการลดภาระให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มFirst Jobber สร้างคนรุ่นใหม่ให้แข็งแรง เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจ เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้อยู่ในวัยทำงาน โดยดึงอนาคตมาอยู่กับปัจจุบัน ให้ทันกับค่าใช้จ่าย และนำรายได้ที่เหลืออยู่สร้างเนื้อสร้างตัวต่อไป
ขณะเงื่อนไขคุณสมบัติ มองว่าได้กำหนดไว้ค่อนข้างแน่นหนา อย่างห้ามโอนสิทธิ์ภายในระยะเวลา 5 ปี นับจากวันลงทะเบียนจองสิทธิ์ ซึ่งยืนยันว่าไม่มีความเสี่ยงนำไปเปลี่ยนมือ ให้กับผู้อื่น ตามกติกาห้ามปล่อยเช่า อันดับแรกต้องให้กับทายาท หากพ่อแม่ตั้งตัวได้ ออกไปอยู่บ้านเดี่ยว ลูกหลานสามารถอยู่อาศัยต่อไป
ทั้งนี้ นอกจาก 4 ทำเล นำร่องแล้ว ระยะต่อไป เฟสสอง กลุ่มเป้าหมาย 2-3 แสนหน่วย ซึ่งสัปดาห์ต่อไปจะกำหนดทำเล ว่าเป็นที่ไหนต่อไปทีมงานอยู่ระหว่างเตรียมข้อมูล ซึ่งนอกจาก โครงการในเขตกรุงเทพมหานครแล้ว แผนต่อไปจะขยายไปตามต่างจังหวัดหัวเมืองใหญ่ที่เดินทางได้พร้อมระบบราง
เริ่มต้นได้โฟกัสไปที่ที่ดินรฟท.ที่ยังไม่ใช้งาน ยังไม่ปล่อยเช่ายังไม่พัฒนาและมีกลุ่มคนทำงาน ที่ยังมีความเป็นอยู่ที่ไม่สบาย สังเกตได้จากคนแต่งงานน้อยลง หรือแต่งงานแล้วไม่กล้ามีบุตรเมื่อโปรเจ็กต์นี้เกิดขึ้นไม่ต้องมีเงินดาวน์ มีความมั่นคง ทำให้เขากล้าสร้างฐานะ มีบุตร ทุกวันนี้อัตราการเกิดน้อยกว่าอัตราการตายปัญหานี้ไม่แก้ได้ง่ายๆ
“เอาจริงโปรเจ็กต์นี้ให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ ไม่เป็นภาระกับรัฐบาลโดย ดึงธอส. ปล่อยสินเชื่อปกติ เพื่อให้เกิดโครงการนี้ เป็นการสร้างโอกาส ซึ่งปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีและกระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการ ซึ่งที่ผ่านมาดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีช่วยให้คำแนะนำ สร้างโอกาสกับคนในทุกมติ บ้านเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 โดยใช้ นโยบายเริ่มผ่อนที่ 4,000 บาทต่อเดือน ไม่มีเงินดาวน์ เราจะสร้างคนรุ่นใหม่ให้แข็งแรงเพื่อกอบกู้เศรษฐกิจ เขาอยู่ในวัยทำงานดึงอนาคตมาอยู่กับปัจจุบัน ให้ทันกับค่าใช้จ่าย”
รับเหมากระหึ่ม
หลังจากจับสลากกำหนดคนเข้าโครงการและจับสลากห้องตามกำหนดแล้ว จะจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการซึ่ง เป็นไปตามระเบียบจัดซื้อจัดจ้างของกรมบัญชีกลาง โดยใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 1ปีครึ่ง ถึง 2 ปี รวมถึงการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) คาดว่าจะเข้าอยู่ได้ ในปี 2569 ซึ่งวันนี้เรามองประชาชนเป็นที่ตั้งนับตั้งแต่มองหาที่ดิน การเจาะกลุ่มเป้าหมาย การผลักดันความสำเร็จ ของ First Jobber ตั้งตัวได้เร็วขึ้น
“เรากำลังตั้งดีมานด์ เฟสแรก ทีมงานกำลังประมวลผล ตั้งแต่เดย์วัน ต้องยอมรับคนสนใจมาก แสดงว่าเขาขาด เราคิดให้ทันกับวิธีการ ดีมานด์ เหลือ 1.2 แสนคน โดยใช้วิธีจับสลาก และยังเก็บไว้อยู่จนถึงวันที่หมดพื้นที่ก็ต้องตัดทิ้ง”
อย่างไรก็ตาม แม้วันนี้ นักวิชาการออกมาตั้งข้อสังเกตที่ว่าที่ดินบริเวณ บางซื่อกม.11 มีมูลค่าสูง ขณะเดียวกัน การพัฒนาโครงการบ้านเพื่อคนไทย มีจำนวนหน่วยเพียงกว่า1,000หน่วย ไม่สอดคล้องกัน อาจทำให้ เอสอาร์ที แอสเสท ขาดทุนได้ ซึ่งมองว่า บางซื่อกม.11 หากรัฐบาลเราไม่เริ่ม ประชาชนจำนวนมากก็ยังไม่มีที่อยู่อาศัย เป็นของตนเอง
จากการประเมินถือเป็นความคุ้มค่าทางตรง ไม่ขาดทุน ส่วนกำไรทางอ้อม คือเป้าหมายหลักทำให้ First Jobber ตั้งตัวได้ และมีพลังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้านี่คือหัวใจที่สำคัญยิ่งกว่า!!!
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 44 ฉบับที่ 4,064 วันที่ 23 - 25 มกราคม พ.ศ. 2568