เศรษฐีเงินเหลือ ซื้อรถแรง BMW M - Audi RS ยอดขายโตเกิน 100%

24 มิ.ย. 2564 | 12:30 น.
1.1 k

ตระกูลรถแรงขายดีสวนภาวะเศรษฐกิจ BMW M - Audi RS ยอดขายโตเกิน 100% ส่วน Mercedes AMG เพิ่มรุ่นนำเข้าและประกอบในประเทศ

รถยนต์หรูสมรรถนะสูง ถือเป็นตลาดที่อยู่เหนือภาวะเศรษฐกิจ โดยยอดขายมักขึ้นอยู่กับการมีโปรดักต์ใหม่ๆ ออกมายั่วใจ และอารมณ์ของเศรษฐีในช่วงนั้นๆ ขณะเดียวกันด้วยการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายคนไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ อาจจะนำงบส่วนนี้มาซื้อ Boy Toys แก้เบื่อ

สำหรับ Boy Toys ระดับซูเปอร์คาร์ราคา 20-30 ล้านบาทขึ้นไป แทบไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ แต่ในระยะหลังๆ ค่ายรถหรูที่ใช้สายพันธุ์รถบ้านมาพัฒนาต่อยอดสมรรถนะ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะยังเป็นรถที่อิงกับตัวถังปกติ และสามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน

กลุ่มตัวแรงของ 3 ค่ายเยอรมนี นำโดย เมอร์เซเดส-เบนซ์ กับ Mercedes AMG ซึ่งมีทั้งรุ่นนำเข้าและประกอบในประเทศ รวมถึง BMW M ที่เน้นนำเข้า แต่เพิ่งเปิดตัว M340i รุ่นประกอบในไทยเป็นครั้งแรก ส่วน Audi RS เป็นรถนำเข้า 100%

Audi RS 4 Avant

อาวดี้ ปีนี้กระหน่ำเปิดตัวรถสายพันธุ์แรง RS รวมแล้ว 7 รุ่น ตั้งแต่ Audi TT RS Coupe, Audi RS 4 Avant, Audi RS Q8,Audi RS5Coupe quattro, Audi RS Q3 Sportback,Audi RS e-tron GT และ Audi RS 6 Avant โดยรุ่นที่ขายดี คือ Audi RS 4 Avant ราคา 5.899 ล้านบาท และ Audi TT RS 5.299 ล้านบาท ครองสัดส่วนการขายรวมกัน 50% ของตระกูล RS ทั้งหมด

นายกฤษฎา ลํ่าซำ ประธานกรรมการ และประธานคณะกรรมการบริหาร อาวดี้ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัท ทำยอดขาย RS รวมทั้ง 7 รุ่นนี้ได้กว่า 160 คัน

แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน Audi RS Family ได้รับความสนใจจากลูกค้าเพิ่มขึ้น สวนกระแสกับสถานการณ์ช่วงนี้ ซึ่งความสำเร็จส่วนหนึ่งมาจาก การบอกต่อของลูกค้าถึงความมั่นใจในแบรนด์ ความประทับใจจากการทดลองขับ และการใช้งานจริง

“ลูกค้าอาวดี้ จำนวนไม่น้อยเป็นผู้มีชื่อเสียงอยู่ในวงการธุรกิจ รวมถึงวงการบันเทิง แต่ละท่านยังช่วยแชร์ประสบการณ์ความประทับใจ ทำให้เกิดการบอกต่อๆ กัน ถึงสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมของรถตระกูล RS ซึ่งเราคาดว่า ช่วงครึ่งปีแรก 2564 ยอดขายรถตระกูล RS จะโตขึ้น 142%” นายกฤษฎา กล่าว

ด้านบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ด้วยยอดขายรวมทั้งพอร์ตที่สูงขึ้น ดังนั้นรถในกลุ่มM ก็ได้อานิสงค์นี้ไปด้วย แม้ BMW M มีหลายระดับ ตั้งแต่ M Car ลงมาจนถึงกลุ่ม M Performance ก็ตาม

“เราส่งท้ายไตรมาสแรกด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในเซกเมนต์พรีเมียมที่ 48.7%ทั้งยังทุบสถิติการเติบโตในระดับสามหลัก จากรถยนต์ในตระกูลMรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และกลุ่มลูกค้าองค์กร ทั้งนี้อัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดของรถยนต์ตระกูลMสูงถึง220%เป็นเครื่องสะท้อนถึงความสนใจของนักขับคนไทยในยานยนต์สมรรถนะสูงได้เป็นอย่างดี” นายอเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าว

บีเอ็มดับเบิลยู แสดงความสำคัญทางธุรกิจของรถตระกูล M ด้วยการประกอบ BMW M340i xDrive ที่ โรงงานบีเอ็มดับเบิลยูจ.ระยอง เป็นครั้งแรกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา กับขุมพลังเบนซิน 6 สูบเรียง ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 387 แรงม้า ที่ 5,800 - 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 - 5,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 4.4 วินาที ขายในราคา 3.999 ล้านบาท

BMW M340i xDrive

ส่วน Mercedes AMG มีตั้งแต่รุ่นประกอบในประเทศ Mercedes AMG GLA 35 4MATIC ราคา 3.19 ล้านบาท ไปจนถึงความแรงระดับซูเปอร์คาร์ราคา 18 ล้านบาท Mercedes AMG GT-R โดยยอดขาย Mercedes AMG ในปี 2563 เติบโต 14.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเฉพาะไตรมาสที่ 4 ไตรมาสเดียว ยอดขายสูงขึ้น 33.9%

ทั้งนี้ ยอดขายรวมในไตรมาสแรก ปี 2564ของ 3 ค่ายรถยนต์เยอรมนี ตัวเลขเป็นบวกกันถ้วนหน้า นำโดย บีเอ็มดับเบิลยู 2,533 คันโต 30% เมอร์เซเดส-เบนซ์ 2,470 คัน โต 12.7% อาวดี้ 301 คัน โต 212%

 

หน้า 18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,690 วันที่ 24 - 26 มิถุนายน พ.ศ. 2564