องค์การนาซา (NASA) ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับ ดาวเคราะห์น้อย 2024 YR4 ซึ่งกำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ทั่วโลก เนื่องจากข้อมูลการคำนวณวงโคจรในปัจจุบันบ่งชี้ว่าอาจมีโอกาสพุ่งชนโลกในปี 2032 โดยความเป็นไปได้นั้นเพิ่มขึ้นเป็น 3.1% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดที่เคยมีการบันทึกไว้สำหรับวัตถุใกล้โลก (Near-Earth Object) ในระดับที่สามารถก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง
ตามรายงานของศูนย์เฝ้าระวังวัตถุใกล้โลกของนาซา (CNEOS) ดาวเคราะห์น้อย 2024 YR4 ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2024 โดยกล้องโทรทรรศน์ในประเทศชิลี จากการวิเคราะห์เบื้องต้น ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีขนาดอยู่ระหว่าง 40-90 เมตร หรือเทียบเท่ากับขนาดของเทพีเสรีภาพในนครนิวยอร์ก หากมันพุ่งชนโลกจริง พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจะอยู่ในระดับเดียวกับระเบิดนิวเคลียร์ขนาดใหญ่และสามารถสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นในระดับที่รุนแรง
สิ่งที่น่ากังวลคือวงโคจรของ 2024 YR4 ในปัจจุบันนั้นชี้ให้เห็นว่าแนวเส้นทางที่มีโอกาสพุ่งชน หรือที่เรียกว่า "Risk Corridor" ครอบคลุมหลายภูมิภาคทั่วโลก ตั้งแต่มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก ไล่ไปยังทวีปอเมริกาใต้ มหาสมุทรแอตแลนติก ทะเลอาหรับ และเอเชียใต้ ซึ่งหมายความว่าหากมีการชนจริง พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอาจเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นอย่างโบโกตา (โคลอมเบีย) มุมไบ (อินเดีย) และธากา (บังกลาเทศ) ซึ่งมีประชากรรวมกันมากกว่า 54 ล้านคน
จากสถิติขององค์การอวกาศยุโรป (ESA) ระบุว่าในอดีตมีดาวเคราะห์น้อยหลายดวงที่เคยถูกคาดการณ์ว่าอาจพุ่งชนโลก แต่ต่อมาข้อมูลที่ได้รับจากการสังเกตการณ์ระยะยาวสามารถลดระดับความเสี่ยงลง เช่นกรณีของดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส (Apophis) ที่ในปี 2004 เคยถูกประเมินว่ามีโอกาสพุ่งชนโลกในปี 2029 ก่อนที่ข้อมูลเพิ่มเติมจะชี้ว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อโลก อย่างไรก็ตาม สำหรับ 2024 YR4 นั้น กลับเป็นกรณีตรงกันข้าม เพราะมีโอกาสชนเพิ่มขึ้นจาก 2.3% เป็น 3.1% ภายในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ ซึ่งถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจ
การเฝ้าระวังอุกกาบาต 2024 YR4 จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนเมษายน 2025 ก่อนที่มันจะเคลื่อนตัวออกไปจากระยะที่สามารถติดตามได้ และจะกลับเข้ามาใกล้โลกอีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2028 ในช่วงเวลานี้ นักวิทยาศาสตร์จะใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เวบบ์ (James Webb Space Telescope) ในการเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขนาดที่แท้จริงของมัน รวมถึงการวิเคราะห์พฤติกรรมของวงโคจรเพื่อประเมินระดับความเสี่ยงที่แท้จริง หากในอนาคตพบว่ามีความเป็นไปได้สูงขึ้นในการพุ่งชนโลก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจต้องเริ่มพิจารณาทางเลือกในการรับมือ
หนึ่งในมาตรการป้องกันที่เป็นไปได้คือการใช้เทคนิคการเปลี่ยนเส้นทางวงโคจรของดาวเคราะห์น้อย ซึ่งเคยถูกทดสอบแล้วในภารกิจ DART (Double Asteroid Redirection Test) ของนาซาในปี 2022 ที่สามารถเปลี่ยนเส้นทางวงโคจรของดาวเคราะห์น้อย Dimorphos ได้สำเร็จ ESA เองก็มีโครงการ Hera Mission ที่เปิดตัวในปี 2024 เพื่อติดตามผลกระทบของภารกิจ DART และพัฒนาเทคนิคป้องกันในอนาคต ดังนั้น หากระดับความเสี่ยงของ 2024 YR4 ยังคงเพิ่มขึ้น อาจมีการพิจารณาใช้เทคนิคเดียวกัน หรือแม้แต่เทคนิคใหม่ที่กำลังพัฒนาเพื่อเบี่ยงเบนทิศทางของมันก่อนที่มันจะเข้ามาในระยะที่เป็นอันตรายต่อโลก
แม้ในขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่า 2024 YR4 จะพุ่งชนโลกหรือไม่ แต่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างให้ความสนใจและติดตามการเคลื่อนที่ของมันอย่างใกล้ชิด เพราะหากมีโอกาสชนจริง โลกอาจต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของผู้คนในหลายประเทศ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ย้ำเตือนถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังวัตถุใกล้โลกและการพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันภัยพิบัติจากอวกาศที่มนุษยชาติอาจต้องใช้เพื่อความอยู่รอดในอนาคต
อ้างอิง: Euronews