ใครที่เป็นแฟนเครื่องดื่ม "มัทฉะ" อาจต้องเตรียมใจ เพราะขณะนี้มัทฉะกำลังเผชิญภาวะขาดแคลนอย่างหนัก ไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่นแต่ยังลามไปทั่วโลก ส่งผลให้สินค้าขาดตลาด ราคาพุ่งสูงขึ้น และร้านคาเฟ่หลายแห่งต้องจำกัดการขาย
จากกรณี กาแฟพันธุ์ไทย หนึ่งในร้านกาแฟที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ได้ออกมาชี้แจงถึงปัญหาการขาดแคลนมัทฉะที่ส่งผลกระทบต่อร้าน โดยระบุว่าสาเหตุหลักมาจากข้อจำกัดในการผลิต เนื่องจากมัทฉะต้องใช้ใบชาเขียวที่เก็บเกี่ยวเฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนของทุกปี ทำให้ปริมาณมัทฉะมีจำกัดในบางช่วงเวลา นอกจากนี้ ปัญหาภาวะโลกร้อนยังส่งผลกระทบต่อการผลิตใบชาเขียวในปีที่ผ่านมา ทำให้ผลผลิตลดลงและมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ
พันธุ์ไทยได้ออกมาขอโทษลูกค้าสำหรับความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น พร้อมยืนยันว่าทางร้านกำลังเร่งจัดหามัทฉะให้กลับมาเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าโดยเร็วที่สุด และคาดว่าจะสามารถกลับมาจำหน่ายได้ที่ทุกสาขาในอนาคตอันใกล้
ปัญหาขาดแคลนมัทฉะครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่กับร้านพันธุ์ไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ร้านค้าและแบรนด์ชาต่างๆ ล้วนได้รับผลกระทบจากปริมาณมัทฉะที่ลดลง และหลายแห่งต้องปรับตัวด้วยการจำกัดปริมาณการขาย หรือแม้แต่ปรับราคาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
มัทฉะไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มสำหรับคอกาแฟทางเลือก แต่ยังเป็นเทรนด์สุขภาพที่มาแรงทั่วโลก โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่อย่าง Millennials และ Gen Z โซเชียลมีเดียเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ อินฟลูเอนเซอร์และบล็อกเกอร์ด้านสุขภาพต่างนำเสนอมัทฉะในเมนูอาหารและเครื่องดื่ม จนทำให้เกิดกระแสการบริโภคที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
ตลาดมัทฉะทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตแตะระดับ 5 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 10.39% สิ่งนี้ทำให้เกิดภาวะที่อุปสงค์พุ่งทะยานแซงหน้าอุปทานอย่างรวดเร็ว
แม้ความต้องการจะสูงขึ้น แต่มัทฉะไม่สามารถผลิตเพิ่มได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากใบชาที่ใช้ผลิตมัทฉะ หรือ "เทนฉะ" (Tencha) มีระยะเวลาการเก็บเกี่ยวที่จำกัด โดยต้องปลูกในที่ร่มเป็นเวลาหลายสัปดาห์ก่อนเก็บเกี่ยว ซึ่งปกติจะทำในช่วง เดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน เท่านั้น
เมื่อฤดูกาลเก็บเกี่ยวสิ้นสุดลง ก็หมายความว่า "ไม่มีมัทฉะใหม่" จนกว่าจะถึงปีถัดไป นี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มัทฉะขาดตลาดอย่างหนักในช่วงปลายปี
นอกจากปัจจัยเรื่องฤดูกาลแล้ว ภาวะโลกร้อนก็เป็นตัวแปรสำคัญ อุณหภูมิที่สูงขึ้นและฝนที่ตกไม่เป็นฤดูกาลส่งผลกระทบต่อปริมาณและคุณภาพของผลผลิตชาเขียว ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าภูมิภาคผลิตมัทฉะหลักในญี่ปุ่น เช่น อุจิ (Uji) และชิซึโอกะ (Shizuoka) ต่างได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ใบชามีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน หรือให้ผลผลิตน้อยลง
แม้มัทฉะจะเป็นสินค้ายอดนิยมทั่วโลก แต่ฟาร์มชาในญี่ปุ่นยังคงเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ดำเนินการโดยครอบครัวและใช้กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม ฟาร์มเหล่านี้ไม่ได้ใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่เหมือนอุตสาหกรรมชาเขียวทั่วไป ทำให้ขีดความสามารถในการผลิตจำกัด
การทำมัทฉะแบบดั้งเดิมต้องใช้ เครื่องโม่หินแกรนิตบดใบชาเป็นผงละเอียด ซึ่งใช้เวลานานและผลิตได้ในปริมาณน้อย เมื่อความต้องการทั่วโลกเพิ่มขึ้นเร็วเกินกว่าที่ฟาร์มเหล่านี้จะปรับตัวทัน ผลที่ตามมาคือ "มัทฉะหมดสต็อก"
เนื่องจากญี่ปุ่นผลิตมัทฉะได้ไม่เพียงพอ หลายประเทศจึงเริ่มเข้าสู่ตลาดมัทฉะ ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ มัทฉะจากแหล่งผลิตเหล่านี้ยังไม่สามารถเทียบคุณภาพกับของญี่ปุ่นได้
มัทฉะคุณภาพสูงต้องผ่านกรรมวิธีเฉพาะที่ใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา ฟาร์มใหม่ๆ ในต่างประเทศยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าจะสามารถผลิตมัทฉะที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับของญี่ปุ่น
มัทฉะเป็นมากกว่าชาเขียวธรรมดา มันเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมญี่ปุ่นและความใส่ใจในรายละเอียดของกระบวนการผลิต อย่างไรก็ตาม วิกฤติครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนว่าหากไม่มีการปรับตัว มัทฉะคุณภาพสูงอาจกลายเป็นสินค้าหายากและมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ
อนาคตของมัทฉะขึ้นอยู่กับการสร้างความสมดุลระหว่าง การรักษาคุณภาพตามมาตรฐานดั้งเดิม กับการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หากสามารถทำได้ ก็จะช่วยให้มัทฉะยังคงเป็นที่นิยมในตลาดโลกโดยไม่กระทบต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
สำหรับคอมัทฉะ อาจถึงเวลาที่ต้องให้คุณค่ากับแต่ละถ้วยที่ดื่มมากขึ้น และสนับสนุนผู้ผลิตที่ใช้แนวทางยั่งยืน เพื่อให้เราสามารถดื่มมัทฉะได้อย่างมั่นใจไปอีกนาน