คลังดัน GDP โต 3.5% ลุยออก "มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ" ครึ่งปีหลัง

18 ก.พ. 2568 | 12:17 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ก.พ. 2568 | 12:27 น.

2 รมช.คลัง ประสานเสียง มั่นใจ GDP ปี 2568 ทะลุเป้า 3-3.5% เตรียมลุย "มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ" ครึ่งปีหลัง เร่งอัดฉีดงบผ่านเงินดิจิทัล-ภาษี-สินเชื่อ พร้อมผลักดัน Financial Hub-EEC

วันนี้ (18ก.พ.68) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวก่อนการประชุมครม.สัญจร ที่สงขลา ถึงกรณีสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เปิดเผยตัวเลจ จีดีพี ปีนี้ โตต่ำกว่า 3% คือจะโตแค่ 2.8% แลัวยังเทียบกับประเทศในอาเซียนไทยโตรั้งท้ายประเทศอื่นว่า การฉายภาพเป็นแบบนี้ทุกครั้งซึ่งหากย้อนไป 10 ปีก่อน การฉายภาพก็ตกเฉลี่ยประมาณ 2 จุดปลายๆ ทุกปี เเต่การเติบโตจริงไม่เคยถึง 2 % เฉลี่ยประมาณ 1.9 %

 

แต่ปีที่ผ่านมาจากการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบันจะเห็นว่าเราทำได้เกินกว่าเป้าหมายสามารถไปแตะ 2 ปลายๆได้ เกินกว่าเป้าหมายในระดับหนึ่งและปีนี้เรายังมีกลไกอยู่ในสต็อค โดยเฉพาะการกระตุ้นเงินหมื่นเฟสต่อไปรวมถึงสิ่งที่ได้ทำมาแล้วและกลไกที่ทำเรื่อง easy e-receipt  มันเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งสิ้น

"เพราะฉะนั้นกระทรวงการคลังมีความมั่นใจว่าในไตรมาสที่ 3 จะมีการเติบโตเราสามารถทำได้ซึ่งเราก็มีการประชุมในส่วนของอนุกรรมการขับเคลื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจมาคุยลงรายละเอียดว่ากลไกที่เราจะใช้ 3-5 อย่างจะทำให้เพิ่มในเรื่องการเติบโตเศรษฐกิจที่เราพยายามจะเพิ่มอีก 0.5 % นั้นจะต้องทำอย่างไรก็มีมาตรการเช่นการเร่งรัดการเบิกจ่าย การป้องกันการรั่วไหลของเงินหมื่นที่แน่นอนว่าเมื่อลงไปมันก็ต้องมีกลไกที่จะทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจอยู่บ้างเราก็จะต้องสามารถเข้าไปกำกับและอุดรอยรั่วเหล่านี้ ก็จะช่วยเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถึง 0.2% และพยายามดันให้ถึง 3.5 % ด้วยซ้ำ แต่จุดนี้ต้องดูกลไกและสภาวะการทางเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่งนี่คือการฉายภาพซึ่งกระทรวงการคลังก็มีความมั่นใจแม้ว่าสถาบันการเงิน สถาบันการศึกษาก็อาจมีตัวเลขที่แตกต่างก็เป็นเรื่องปกติ "

 

เมื่อถามว่าสภาพัฒน์ฯ ระบุว่าได้รวมเรื่องมาตรการแจกเงินหมื่นรอบ 3 ไว้แล้วในจีดีพี 2.8 % นายจุลพันธ์ ของกระทรวงการคลังเราก็มี แต่ก็สิ่งที่บอกคือกลไกในการขับเคลื่อนให้เม็ดเงินที่ลงไปสู่ระบบสามารถหมุนเวียนได้แย่งมีประสิททธิภาพ ตรงนี้เป็นหน้าที่กระทรวงการคลังต้องเข้าไปกระชับ 

เมื่อถามว่าเห็นด้วยหรือไม่กับข้อเสนอขอสภาพัฒน์ฯ ที่บอกว่าให้เเบ่งงบประมาณจากโครบการเงินดิจิตอลรอบ 3 มาทำโครงการบริหารจัดการน้ำทั่วประเทศจะทำให้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่า นายจุลพันธ์  กล่าวว่า มันก็เงินบาทเดียวกันแต่คนละกลไก ในการใช้ที่อาจมีความแตกต่าง ในมุมนั่นมันเป็นเรื่องการปรับโครงสร้างโดยเพิ่มโครงสร้างพื้นฐาน มุมนี้รัฐบาลไม่ได้ละเลยและมีกลไกในการทำอยู่แล้วตามงบประจำปี และงบกลางซึ่ง ครม.สัญจรที่สงขลาวันนี้ก็มีที่จะอนุมัติ สิ่งที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน

 

"นี่เป็นเงินบาทเดียวกันแต่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรนั้นต้องเรียนว่ากลไก ในการใช้เงินความเป็นรัฐมันไม่มีประสิทธิภาพด้วยซ้ำ ที่ซึ่งเม็ดเงินที่ลงถึงประชาชนที่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนมากมาจากการจับจ่ายใช้สอย การลงทุนครอบครัวครัวเรือน แต่ของภาครัฐในการผ่านการจัดซื้อจัดจ้างกว่าจะลงไปในระบบนั้นกลับ ช้ากว่าแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ดี แต่หมายความว่าความเป็นรัฐบาลมีระบบอยู่เราก็เติมเงินลงไปให้กับประชาชนขณะเดียวกันเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานเรามีกลไกอื่นอยู่แล้ว ซึ่งหากจะมีความจำเป็นในการแบ่งสัดส่วนออกไปสร้างนั้นเราก็คุยกันได้ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้พิจารณาฎ

 

เมื่อถามว่าควรจะมีการหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังอีกหรือไม่นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ควรอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะต้องมีแผนตอนนี้คิดอยู่ว่ากลไกในการใช้เม็ดเงินจากจุดไหนและวิธีการอย่างไรและจะใช้วิธีการอย่างไรเราก็ต้องหาข้อสรุปอีกครั้ง เมื่อถามว่า โอกาสที่จีดีพีจะถึง 3.5% ถ้าได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะสามารถทำได้หรือไม่นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เป็นไปได้ และเราก็พยายามดูอยู่ 

 

นายจุลพันธ์ กล่าวย้ำว่า อย่างที่บอกกลไกและมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าไปดูแค่เติมเงินซึ่งต้องดูกลไกอื่นๆซึ่งเราไม่ได้จำกัด รูปแบบซึ่งตอนนี้ก็มีข้อเสนอมาบ้างแล้ว


เมื่อถามว่าต้องคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยหรือไม่เนื่องจากบางกฎหมายมีข้อจำกัด นายจุลพันธ์ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็มีการพูดคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทยมาโดยตลอด เชื่อว่าการพูดคุยเป็นไปตามที่ทุกฝ่ายต้องการ แม้ว่า โจทก์ก็อาจจะมีการชั่งน้ำหนักที่แตกต่างกันบ้าง ในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจกับเรื่องเสถียรภาพทางการเงิน จุดนี้ทั้งสองฝ่ายก็ต้องมีการหารือร่วมกัน 

 

นายจุลพันธ์ ยืนยันว่าตอนนี้ไม่มีความกังวลที่ตัวเลขจีดีพีออกมาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ล่าสุดที่ต่ำ กว่าเป้าหมายนั้นต้องยอมรับว่าในไตรมาสแรก ก่อนหน้านี้จีดีพีมันต่ำมาก เราก็พยามขับเคลื่อนมาจนมีการเติบโตซึ่งกระทรวงการคลังซึ่งกระทรวงการคลังก็ตั้งเป้าให้ตัวเลขจีดีพีไปใกล้ 3% 

 

เมื่อถามว่าการประชุม กนง. ในสัปดาห์หน้าคาดหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีมาตรการเกี่ยวกับ นโยบายทางการเงินมาช่วยหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนไม่คาดหวัง เพราะต้องเข้าใจว่าธนาคารแห่งประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความเป็นอิสระเราคงไม่พูดเรื่องนี้แล้วเค้าคงเข้าใจว่ากลไกอย่างไหนจะสร้างเสรีภาพทางการเงินได้กลไกอย่างไหนจะเป็นการส่งเสริมช่วยเรื่องเศรษฐกิจของรัฐบาลและทำให้ประชาชนมีการใช้จ่ายได้ดี ตนเชื่อว่า กนง.จะมีความเข้าใจส่วนจะคาดหวังหรือไม่ตนไม่พูดดีกว่าเพื่อให้เขามีความสบายใจ

 

ด้าน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 2.8% ถือว่าเป็นตัวเลขที่แต่ละสำนักจะประเมินตัวเลขที่แตกต่างกันและมีสมมติฐานที่ต่างกัน ซึ่งกระทรวงการคลังเอง ประเมินไว้ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัว 3% และจำเป็นต้องเร่งทำให้ได้ตามเป้าหมาย 

 

ส่วนกรณีที่สศช. แนะนำว่า จะต้องออกแพ็คเกจกระตุ้นการลงทุนออกมาในปีนี้เพิ่มเติมนั้น มองว่า เรื่องนี้เห็นตรงกันกับรัฐบาล เพราะการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญกับการวางโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว จึงเป็นที่มาของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการออกนโยบายสำคัญ เช่น การผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน  (Financial Hub) หรือสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เช่นเดียวกับการส่งเสริมตลาดยานยนต์ในไทย ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังเตรียมปรับปรุงโครงสร้างภาษี และการดึงดูดแหล่งเงินใหม่ ๆ เข้ามาลงทุนในประเทศ

 

ขณะที่แนวโน้มการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ รัฐบาลจะมีแนวคิดดึงเงินส่วนหนึ่งของโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1.5 แสนล้านบาทมากระตุ้นการลงทุนหรือไม่นั้น เห็นว่า จะต้องประเมินสถานการร์อีกครั้งว่า เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2-3 จะกระจายเงินในลักษณะใด เพื่อรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจ

 

"รัฐบาลมีแผนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจแย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2-3 เพราะในช่วงไตรมาสแรกจะมีแรงส่งอยู่ โดยจะมีมาตรการภาษีและมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย รวมทั้งมาตรการด้านสินเชื่อ เพื่อกระจายเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจ ส่วนวงเงินที่จะเอามาใช้นั้นตอนนี้ขอให้รอข้อสรุปอีกครัง เพราะทุกอย่างอยู่ในกระบวนการ" นายเผ่าภูมิ ระบุ

 

ส่วนตลาดรถยนต์ที่ชะลอตัวลงในปี 2567 นั้น รัฐบาลมองว่า เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เป็นผลมาจากการปล่อยสินเชื่อน้อยกว่าที่ควรเป็น ซึ่งรัฐบาลกำลังจะมีมาตรการเกี่ยวกับการค้ำประกันสินเชื่อกลุ่มรถกระบะออกมาเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกันตลาดรถยนต์ยังได้รับผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมด้วย จึงทำให้ตลาดรถยนต์ในปีที่แล้วปรับตัวลดลง แต่รัฐบาลก็เชื่อว่า มาตรการต่าง ๆ ที่มี เช่นมาตรการ EV 3.5 จะช่วยประคับประคองได้

 

ส่วนการประชุมกนง.ครั้งต่อไปนั้น รมช.คลัง ยอมรับว่า ก็หวังว่าจะมีข่าวดี แต่ก็เป็นอำนาจของ กนง. ซึ่งรัฐบาลก็อยากให้ปรับนโยบายทางการเงินให้เกิดความเหมาะสม สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งกรอบอยู่ที่ 1-3% หากเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบก็ควรพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและปัจจัยอื่น ๆ ลงด้วย