นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า วันนี้ ( 17 ก.พ.68) มายื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาล ถึง นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ผลสืบเนื่องจากที่สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ได้รับการร้องเรียนจากสมาชิก เรื่องราคาข้าวเปลือกต่ำ และเรื่องรัฐบาลห้ามให้มีการเผาฟางข้าว ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการเพาะปลูกสูงขึ้นไร่ละ 500 บาท อันเป็นสาเหตุให้เกษตรกรใน หลายพื้นที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องรัฐบาล และเริ่มลุกลามเป็นวงกว้างทุกจังหวัด
ดังนั้นสมาคมชาวนาและเกษตรกรกร ไทย เห็นว่าภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในระยะเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนได้ทันท่วงทีก่อนที่ จะถึงรอบการเก็บเกี่ยวฤดูนาปรังอีกภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า รวมถึงการออกมาตรการระยะยาวในการดูแลราคา ข้าวเปลือกในฤดูกาลหน้า โดยสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยขอเสนอประเด็นตามติที่ประชุมกรรมการสมาคมฯ 3 ข้อดังนี้
1. การจัดการฟางข้าวโดยไม่เผามีหลายวิธี ได้แก่ วิธีย่อยสลายฟางข้าวโดยใช้จุลินทรีย์และไถกลบ หรือ วิธี อัดฟางเพื่อขนออกจากพื้นที่เกษตร ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน การบริหารจัดการฟางทั้งประเทศ จำเป็นต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน โดยเฉพาะในช่วงหลังเก็บเกี่ยว จะมีฟางจำนวนมากทั้งประเทศต้องกำจัดพร้อมกัน จะใช้วิธีการอัดฟางและขนออกวิธีการเดียวให้ทันกระบวนการทำนารอบต่อไปคงจะเป็นไปไม่ไม่ได้ ดังนั้น การจะเลือกใช้ วิธีไหนควรให้ชาวนาเลือกจัดการเอง โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการฟางให้ชาวนาแทน ซึ่งค่าใช้จ่ายและ ในการจัดการฟางข้าวด้วยวิธีย่อยสลาย ประกอบไปด้วย การกระจายฟางหลังเกี่ยวข้าว จากนั้นชาวนาต้องใช้น้ำ และใช้รถตีนตะขาบปันกลบ ซึ่งค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 350 บาทต่อไร่
หลังจากปั่นเสร็จชาวนาต้องขึ้นน้ำและฉีดจุลินทรีย์ย่อยสลายฟาง ค่าใช้จ่ายประมาณ 150 บาทต่อไร่ แล้วจึงหมักทิ้งไว้ 25-30 วัน ขั้นตอนนี้มีคำใช้จ่ายรวมประมาณ 500 บาทต่อไร่ ดังนั้นสมาคมฯ จึงต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้เกษตรกร ไร่ละ 500 บาท ตามจำนวนพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่เกษตรกรขึ้นทะเบียนไว้ เพื่อเป็นการดูแลเกษตรกรภายใต้การบังคับใช้กฎหมาย และเพื่อสุขภาพของ ประชาชนทั้งประเทศ โดยมีเงื่อนไขว่า หากชาวนารายใดยังคงมีการเผาฟาง ภายใน 2 ปี จะไม่ได้รับสิทธิ์ช่วยเหลือโครงการต่างๆ ของภาครัฐ
2. เนื่องด้วยสถานการณ์ราคาข้าวตกต่ำจากสถานการณ์ตลาดโลกมีเหตุหลายปัจจัยทั้งอินเดีย กลับมาส่งข้าวขาว 5% และเวียดนามเองก็ใช้ราคาข้าวต่ำสุดมาแข่งแย่งพื้นที่ตลาดมากขึ้น ทำให้มีผลกระทบต่อชาวนาโดยตรง ในสถานการณ์ที่ราคาข้าวเปลือกลดลงอย่างรุนแรง บวกด้วยสภาวะอากาศที่หนาวเย็นเป็นเป็นเวลานาน ได้ส่งผลกระทบต่อผลผลิตในปัจจุบัน และจะส่งผลกระทบในรอบการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปรังชุดใหญ่ที่จะออกปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงเดือนเมษายน ซึ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทาน รวมประมาณ 10-12 ล้านไร่ ผลผลิตประมาณ 6.5-7 ล้านตัน
ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรชาวนา ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ได้ได้ไม่ ประสบภาวะขาดทุน สมาคมฯ จึงขอให้รัฐบาลช่วยเหลือเกษตรกร ไรละ 500 บาท ตามจำนวนพื้นที่เพาะปลูกข้าวนา ปรัง ซึ่งเป็นวิธีที่เกษตรกรได้รับความช่วยเหลือได้ทันท่วงที และเป็นวิธีที่ไม่เป็นการบิดเบือนตลาด ทั้งนี้รัฐบาลควรมี มาตรการระยะยาวควบคู่ในการดูแลราคาข้าวเปลือกในอนาคตข้างหน้าด้วย
3.สมาคมฯ ยังคงต้องการให้รัฐบาล ช่วยดูแลในเรื่องราคาปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย ยา และ น้ำมัน ให้มีราคา ถูกลง เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุน รวมไปถึงการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีผลผลิตที่สูงขึ้นกว่าเดิม อายุการ เพาะปลูก 100 วัน ทั้งพื้นนุ่มและพื้นแข็ง เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุน ตอบโจทย์ชาวนาและตลาด และเป็นการ ช่วยเหลือที่ยั่งยืน
หลังจากนั้นได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมหารือกับนายธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถึงแนวทางและความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาในครั้งนี้ และยื่นหนังสือเพื่อขอให้ช่วยแก้ปัญหาให้กับชาวนาด้วย
ปิดท้ายเข้าพบหารือกับกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งทางนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ลงมารับเรื่อง และได้รับปากว่าจะมีการประชุมแก้ไขในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568