รายงาน Thailand Economic Monitor ฉบับล่าสุดที่เผยแพร่โดยธนาคารโลก ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.9% ในปี 2568 จาก 2.6% ในปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการลงทุนภาครัฐและเอกชน ตลอดจนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 ภายในกลางปีนี้ อย่างไรก็ตาม รายงานเตือนว่าหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การลงทุนที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และความท้าทายด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตในระยะยาวของไทย
อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 0.8% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานยังเน้นว่าประเทศไทยจำเป็นต้อง เร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
แม้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ GDP ของประเทศยังคงต่ำกว่าระดับที่ควรเป็น รายงานระบุว่า แม้ภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ แต่ปัจจัยเหล่านี้อาจไม่เพียงพอที่จะสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว การเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลก
หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา คือ โครงการโอนเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาล ซึ่งช่วยให้การบริโภคขยายตัวและสนับสนุนการลดอัตราความยากจนลงเหลือ 8.2% ในปี 2567 จาก 8.5% ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวมีต้นทุนทางการคลังสูงถึง 145,000 ล้านบาท หรือ 0.8% ของ GDP ซึ่งอาจเป็นภาระต่อฐานะการคลังของประเทศในอนาคต
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคนในปี 2568 จาก 35.3 ล้านคนในปี 2567 ซึ่งถือเป็นการฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 อย่างไรก็ตาม รายงานเตือนว่าการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวมากเกินไป อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเปราะบางต่อปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
แม้รัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลือด้านหนี้สิน เช่น การพักชำระหนี้และการลดอัตราดอกเบี้ย แต่หนี้ครัวเรือนของไทยยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 90.7% ของ GDP ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบต่อเสถียรภาพของภาคการเงิน
รายงานเน้นย้ำว่า ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และสตาร์ทอัพ จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต โดยปัจจุบัน SMEs คิดเป็น 99.5% ของธุรกิจทั้งหมดในประเทศ และสร้างงานให้กับ 69.5% ของประชากรวัยทำงาน อย่างไรก็ตาม ปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยียังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของภาคธุรกิจเหล่านี้
คริสเตียน กิฮาดา ตอร์เรส ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านภาคเอกชนของธนาคารโลก กล่าวว่า "นวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป หากประเทศไทยต้องการแข่งขันในเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว"
เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว รายงานแนะนำให้รัฐบาลดำเนินมาตรการสำคัญ ได้แก่..
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากปัจจัยภายในประเทศ เช่น การบริโภคและการลงทุนภาครัฐ แต่ยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่สูง และข้อจำกัดในการลงทุน หากประเทศไทยต้องการบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2580 การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความยืดหยุ่นและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน