จากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ประกาศจะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาและอัตรา 25% แต่ในที่สุดก็เลื่อนออกไปหนึ่งเดือน(นับตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. 68) ส่วนสินค้าจีนประกาศจะปรับขึ้นภาษี 60-100% แต่ในเบื้องต้นปรับขึ้นเพียง 10% มีนัยอย่างไรนั้น
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ให้ความเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กรณีเม็กซิโกและแคนาดา สหรัฐต้องการให้ทั้งสองประเทศแก้ปัญหา คือ 1.แก้ปัญหาคนอพยพเข้าสหรัฐที่ผิดกฎหมาย 2.แก้ปัญหายาเสพติดเข้าสหรัฐที่ผิดกฎหมาย
และ 3.สหรัฐต้องการให้เม็กซิโกและแคนาดา แก้ปัญหาการเกินดุลการค้าของทั้ง 2 ประเทศที่มีต่อสหรัฐ ทั้งนี้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับเม็กซิโกเป็นอันดับ 2 และแคนาดา เป็นอันดับ 3 (อันดับ 1 คือจีน) จากการค้ากับทั่วโลก
“การเก็บภาษีเม็กซิโกและแคนาดาที่เลื่อนออกไป เพื่อต้องการให้แก้ปัญหาข้อที่ 1 และ 2 หากครบ 1 เดือน แก้ไม่ได้ ก็เก็บภาษี 25% เพื่อแก้ปัญหาในทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมา"
ส่วนกรณีจีนที่สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าในเบื้องต้นเพียง 10% มองว่ามีเหตุผลอย่างน้อย 6 ประการคือ
1.สหรัฐฯ มีความจำเป็นต้องใช้สินค้าจีน (จึงยังไม่เก็บถึง 60%) 2.เพื่อแก้ปัญหายาเสพติดที่สหรัฐฯ ระบุว่า เป็นต้นทางของการส่งออกสารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด 3.เพื่อต้องการฮุบ Tik Tok เป็นของสหรัฐฯ จึงยังไม่เก็บภาษี 60% เพื่อเจรจาต่อรอง
4.เพื่อต้องการให้จีนช่วยเจรจารัสเซียยุติสงครามกับยูเครน 5.รอเจรจากับจีนเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่เป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ และ 6.รอดูการตอบโต้กลับจากจีนว่าจะทำอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ดี กรณีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะเก็บภาษีเท่าเทียมในการนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าในเรื่องนี้หากมีการเก็บภาษีในลักษณะนี้จริง จะมีการเก็บภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าจากสรัฐจากประเทศคู่ค้าในลักษณะ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”อย่างแน่นอน และผลกระทบที่จะตามมาคือ
1.การส่งออกของไทยและทั่วโลกจะได้รับผลกระทบและอัตราการขยายตัว GDP จะลดลง
2.ห่วงโซ่การผลิตของโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากสหรัฐฯ ไปสู่จีนและอาเซียนมากขึ้น
3. กลุ่ม BRICS จะเข้มแข็งมากขึ้น ประเทศที่จะเข้าร่วมมีมากขึ้น
ทั้งนี้ในของประเทศไทยควรตั้วทีมเจรจากับโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แบบ “ยื่นหมู ยื่นแมว”