โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมประกาศแผนภาษีศุลกากรตอบโต้ประเทศคู่ค้าในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะพบกับ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียในกรุงวอชิงตัน นโยบายดังกล่าวถูกจับตามองจากทั่วโลก เพราะอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และหลายประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะอินเดียและไทย ซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงกว่าที่สหรัฐฯ เก็บ นั่นทำให้ทั้งสองประเทศมีแนวโน้มที่จะตกเป็นเป้าหมายของมาตรการภาษีตอบโต้ที่ทรัมป์วางแผนจะใช้
โมดีเดินทางถึงกรุงวอชิงตันเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยมีกำหนดพบกับทรัมป์ในวันพฤหัสบดี ทั้งสองผู้นำมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาตั้งแต่สมัยแรกที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง และเคยร่วมจัดงานชุมนุมทางการเมืองร่วมกันในสหรัฐฯ และอินเดียหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการดำเนินนโยบายการค้าของทรัมป์ ซึ่งเน้นการลดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ และเรียกร้องให้ประเทศคู่ค้าปรับลดอัตราภาษีนำเข้า รวมถึงเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ มากขึ้น
อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าเป็นมูลค่าสูง โดยในปี 2024 ตัวเลขการค้าระหว่างสองประเทศแตะระดับสูงสุดที่ 118,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับอินเดียถึง 45,600 ล้านดอลลาร์ ทรัมป์เคยกล่าวหาอินเดียว่าเป็น "ผู้ละเมิดการค้ารายใหญ่" และเคยขู่ใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้มาแล้ว ซึ่งทำให้นโยบายการค้าของโมดีต้องพยายามหาทางลดแรงกดดันจากสหรัฐฯ โดยการเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ บางประเภท เช่น ก๊าซธรรมชาติเหลว อุปกรณ์ทางการแพทย์ และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
นักวิเคราะห์คาดว่า ในการพบปะครั้งนี้ โมดีอาจใช้มาตรการลดภาษีสินค้าอเมริกันเป็นเครื่องต่อรองกับทรัมป์ เพื่อลดความเสี่ยงที่อินเดียจะถูกขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม อินเดียได้เริ่มปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการแล้ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อสหรัฐฯ และหวังว่าทรัมป์จะพิจารณายกเว้นอินเดียจากมาตรการตอบโต้ทางภาษี อย่างไรก็ตาม ไม่มีการรับประกันว่าการดำเนินการเหล่านี้จะเพียงพอ เนื่องจากทรัมป์มีแนวโน้มที่จะเพิ่มแรงกดดันต่ออินเดียในเรื่องอื่นๆ เช่น นโยบายเกี่ยวกับแรงงานอินเดียผิดกฎหมายในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนทางการเมืองสำหรับทั้งสองฝ่าย
นอกจากอินเดียแล้ว ไทยก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของ โดนัลด์ ทรัมป์ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley และ Nomura Holdings ระบุว่า ไทยและอินเดียเป็นสองประเทศที่มีอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงกว่าที่สหรัฐฯ เก็บจากสองประเทศนี้ ซึ่งทำให้ไทยอาจกลายเป็นเป้าหมายต่อไปของมาตรการตอบโต้ หากทรัมป์เดินหน้าบังคับใช้แนวคิด "ภาษีตอบโต้"
แม้ว่าสหรัฐฯ จะไม่ได้ระบุชื่อไทยอย่างชัดเจน แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าไทยมีอัตราภาษีเฉลี่ยต่อสินค้าสหรัฐฯ สูงกว่าภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทย ทำให้มีโอกาสสูงที่สินค้าไทย เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าเกษตร อาจต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงขึ้น หากทรัมป์ตัดสินใจเดินหน้าใช้มาตรการภาษีตอบโต้แบบเดียวกับที่เขากำลังเจรจากับอินเดีย
การใช้มาตรการภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือกดดันประเทศคู่ค้าไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับทรัมป์ ย้อนกลับไปในปี 2018 เขาเคยขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจากหลายประเทศ และเคยใช้มาตรการภาษีเพื่อต่อรองกับจีนในสงครามการค้าสมัยแรกของเขา ในรอบใหม่นี้ แนวทางของทรัมป์ดูเหมือนจะรุนแรงขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลก
สำหรับไทย ทางออกที่เป็นไปได้คือการเร่งเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อป้องกันไม่ให้มาตรการตอบโต้ภาษีส่งผลกระทบต่อการค้าของประเทศ การเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ อาจเป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยลดความเสี่ยงได้ โดยเฉพาะการเพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เช่น พลังงานและเทคโนโลยี เพื่อสร้างสมดุลในการค้าระหว่างสองประเทศ
ขณะเดียวกัน ไทยควรจับตาดูแนวทางของอินเดียอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอินเดียมีประสบการณ์รับมือกับมาตรการภาษีของทรัมป์มาก่อน และอาจสามารถหาทางลดแรงกดดันจากสหรัฐฯ ได้สำเร็จ หากโมดีสามารถบรรลุข้อตกลงกับทรัมป์ ไทยก็อาจใช้แนวทางเดียวกันในการปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง
การพบกันระหว่างทรัมป์และโมดีในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การหารือทางการเมืองหรือความร่วมมือด้านความมั่นคง แต่เป็นการเจรจาต่อรองทางเศรษฐกิจที่มีเดิมพันสูง อินเดียจะต้องพยายามรักษาสถานะของตนในตลาดสหรัฐฯ ขณะที่ไทยจะต้องเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
แม้จะมีความตึงเครียดในประเด็นภาษีศุลกากร แต่การพบกันของสองผู้นำยังเป็นโอกาสให้ทั้งอินเดียและไทยได้เจรจาต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง หากโมดีสามารถใช้ความสัมพันธ์ที่ดีของเขากับทรัมป์เป็นเครื่องมือในการบรรเทาความกดดันจากสหรัฐฯ ไทยก็ควรนำแนวทางเดียวกันมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของทรัมป์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
อ้างอิง: Reuters, Aljazeera, BBC, Business Times, Reuters