นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุม คณะรัฐมนตรี(ครม.) วันนี้ (11ก.พ.68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในที่ประชุมครม.ถึงการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ยังไม่เข้มงวดเท่าที่ควร
โดยเฉพาะการตัดสัญญาณโทรคมนาคมในพื้นที่เสี่ยงสำคัญ 2 จุด ได้แก่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งอยู่ตรงข้ามปอยเปต และพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
“รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการตัดสัญญาณในระบบสื่อสารโทรคมนาคมต่างๆของ รักษาการเลขาธิการ กสทช.ที่ผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจนักโดยเฉพาะฝั่งอำเภออรัญประเทศ สระแก้ว ตรงข้ามปอยเปต กสทช.ยังไม่ตอบสนองมากนัก ในขณะเดียวกันในฝั่งตะวันตกตรงข้ามอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก ขอให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาด”
ทั้งนี้ นายจิรายุ เปิดเผยด้วยว่า รองนายกฯภูมิธรรมยังเปิดเผยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า จะมีการออกคำสั่งย้ายข้าราชการระดับสูงที่มีส่วนพัวพันหรือเกี่ยวข้องกับกระบวนการคอลเซ็นเตอร์ภายในวันนี้ (11 ก.พ.) ก่อนเวลา 12.00 น. เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการปราบปรามขบวนการดังกล่าว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ขณะทื่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ได้เตรียมสรุปมาตรการที่รัฐบาลไทยดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือภายใน 15 วัน และ 30 วัน โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ กสทช. เพื่อกำหนดมาตรการต่อไป
พร้อมกันนี้ ยังได้สั่งการให้ กสทช. เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและดำเนินการ หากพบอาคารหรือสถานที่ใดที่มีการเชื่อมต่อสัญญาณในลักษณะที่เอื้อหรือสนับสนุนการกระทำผิดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้ดำเนินการตัดสัญญาณได้ทันที
ขณะที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลฯ และหน่วยงานความมั่นคง เร่งประสานความร่วมมือกับทางการจีนในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติออนไลน์ โดยเฉพาะการจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สั่งการก่อนเดินทางไปเยือนประเทศจีน
นายกรัฐมนตรียังย้ำว่า รัฐบาลกำลังเดินมาถูกทางในการดูแลคนไทยและประเทศไทย โดยจะดำเนินการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังอย่างเด็ดขาด ควบคู่ไปกับการดูแลด้านมนุษยธรรม เช่น การเปิดรับผู้ป่วยจากประเทศเมียนมาให้เข้ามารักษาในโรงพยาบาลของไทย และการอนุญาตให้รถยนต์จากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเติมน้ำมันได้
ทั้งนี้ การดำเนินการอย่างเข้มงวดกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถือเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เนื่องจากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงและภาพลักษณ์ของประเทศ รวมถึงสร้างความเสียหายทางการเงินให้กับประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะการหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ซึ่งมีความซับซ้อนและยากต่อการติดตามจับกุม