นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการจัดตั้งศูนย์กลางทางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้มีบทบาทเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวทีโลกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในอนาคตนั้น
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการของร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สำหรับ พ.ร.บ. ดังกล่าว เป็นการยกร่างกฎหมายชุดใหม่ให้มีความเป็นสากล โปร่งใส และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Financial Hub ได้อย่างแท้จริงตามนโยบายรัฐบาล ทั้งนี้ ในระยะต่อไปร่าง พ.ร.บ. จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา ก่อนที่จะมีผลใช้บังคับต่อไป
โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. ประกอบด้วย 9 หมวด 96 มาตรา โดยมีหลักการสำคัญ ดังนี้
Financial Hubต้องการดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายที่เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ 8 ประเภท ได้แก่
ให้เข้ามาลงทุนและตั้งบริษัทในประเทศไทย โดยต้องมีสถานที่ตั้งในเขตพื้นที่ที่กำหนดตามความพร้อมในการพัฒนา Ecosystem หรือโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่สำคัญและจะต้องจ้างแรงงานไทยเป็นสัดส่วนตามที่กำหนด โดยสามารถให้บริการแก่ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) เท่านั้น ห้ามชักชวนหรือให้บริการลูกค้าในประเทศไทย
ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายสามารถประกอบกิจกรรมการมีส่วนร่วมในตลาด (Market Participant) ได้ ดังนี้
(1) ผู้ประกอบธุรกิจด้านประกันภัยภายใต้ Financial Hub สามารถทำประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยในประเทศไทยเพื่อโอนความเสี่ยงได้
(2) ผู้ประกอบธุรกิจด้านตลาดทุนภายใต้ Financial Hub สามารถให้บริการร่วมกับผู้ประกอบการไทย (Co-services) ในการพาลูกค้าไปลงทุนต่างประเทศได้
(3) ผู้ประกอบธุรกิจด้านสถาบันการเงินภายใต้ Financial Hub สามารถทำธุรกรรม Interbank กับสถาบันการเงินไทยเพื่อบริหารความเสี่ยงได้
(4) ผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินภายใต้ Financial Hub สามารถเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (Business Partner) หรือเชื่อมระบบกับผู้ให้บริการภายใต้การกำกับดูแลของไทยได้ หากมีมาตรฐานเท่าเทียมกัน
(5) ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้ Financial Hub ที่ทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงิน จะมีสถานะเป็น
Non-resident ที่ประกอบธุรกิจทางการเงิน โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมแลกเปลี่ยนเงิน และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท
ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายภายใต้ Financial Hub จะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งทางภาษีและมิใช่ภาษี โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะพิจารณาให้ทัดเทียมกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีของต่างประเทศเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ และสิทธิประโยชน์ที่มิใช่ภาษีที่จะได้รับ เช่น
การดำเนินการเพื่อผลักดันให้เกิด Financial Hub นั้น จะมีการตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (One Stop Authority: สำนักงาน OSA ) ขึ้น เป็นหน่วยงานของรัฐเพื่อให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (End to end) ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Financial Hub และสนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย
และมีคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (คณะกรรมการ OSA) ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Financial Hub กำหนดแนวทางการส่งเสริมธุรกิจเป้าหมาย กำหนดประเภทและขอบเขตของการอนุญาตในการประกอบธุรกิจเป้าหมาย
“กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขในการขออนุญาต และพิจารณาการอนุญาต รวมทั้งการเพิกถอนการอนุญาต รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เช่น การดูแลฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงาน การคุ้มครองผู้บริโภค การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล เป็นต้น”
นอกจากนี้ การประกอบธุรกิจเป้าหมายอยู่ภายใต้ข้อกำหนดหรือมาตรฐานเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) ที่เป็นมาตรฐานสากล ทั้งนี้ คณะกรรมการ OSA จะประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิในหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้การพิจารณาดำเนินการต่าง ๆ ในการส่งเสริมประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินเป็นไปอย่างถูกต้อง รอบคอบ มีประสิทธิภาพและตรงตามขอบเขตวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน
นายพรชัย กล่าวว่า ประเทศไทยมีปัจจัยที่สามารถดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินต่างประเทศ เช่น ทักษะแรงงานไทย โครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินไทยที่พัฒนามากกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เป็นต้น ดังนั้น การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคจึงเป็นโอกาสของประเทศไทยในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น