“อลงกรณ์” เดินหน้าโครงการธนาคารสีเขียว  ฝ่าวิกฤติโควิด

14 ก.ค. 2564 | 17:03 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ก.ค. 2564 | 00:08 น.

ก.เกษตรฯ ผนึก ”พาณิชย์”  เติมทรัพย์สินประชาชนเพิ่มสินเชื่อช่องทางใหม่ ใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน “อลงกรณ์” เดินหน้าโครงการธนาคารสีเขียว  ฝ่าวิกฤติโควิด  เริ่มขับเคลื่อนทันที ตามนโยบาย “เฉลิมชัย” สั่งลุย

อลงกรณ์ พลบุตร

 

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเกษตรกรรมยั่งยืน (Sustainable Agriculture) แถลงวันนี้ (14 ก.ค.) ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรฯ ประสานความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และทุกภาคีภาคส่วนในการขับเคลื่อนโครงการธนาคารสีเขียว (Green Bank) ภายใต้นโยบายเกษตรกรรมยั่งยืนบนแนวทางศาสตร์พระราชาและโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อต่อยอดขยายผลนโยบายของรัฐบาลภายใต้วิกฤตโควิด19 ในการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับประชาชนและประเทศชาติและเป็นการสร้างแรงจูงใจในการปลูกไม้เศรษฐกิจตามแนวทางเกษตรกรรมยั่งยืน

 

โดยมีวัตถุประสงค์ของโครงการ 6 ประการ ได้แก่ 1. เพื่อเพิ่มสินเชื่อช่องทางใหม่โดยใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน 2. เพื่อเพิ่มทรัพย์สิน รายได้ อาชีพและธุรกิจใหม่ๆให้กับประชาชน 3. เพื่อลดปัญหาหนี้นอกระบบ 4. เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งในเมืองและนอกเมืองเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ชุมชนและเมือง แก้ปัญหา Pm2.5 5. เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน (Global Warming) และเพิ่มคาร์บอนเครดิตของประเทศ และ 6. เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDG) และยุทธศาสตร์ชาติรวมทั้งแผนปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การเกษตรและเศรษฐกิจ

 

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า จากข้อมูลของกองทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ (ณ วันที่ 5 ก.ค. 2564) รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน มีผู้ขอนำไม้ยืนต้นมาจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 87 สัญญา จำนวน 119,498 ต้น วงเงิน 134,375,912.00 บาทโดยแบ่งเป็น กลุ่มให้สินเชื่อรายย่อย (พิโกไฟแนนซ์ ปล่อยสินเชื่อวงเงิน 50,000 - 100,000 บาท) 80 สัญญา คิดเป็น 92% ของสัญญารวมวงเงินค้ำประกัน 4 ล้านบาท กลุ่มสถาบันการเงิน (ธนาคารกรุงไทยและธกส.) 7 สัญญา คิดเป็น 8% ของสัญญา รวมวงเงินค้ำประกัน 130 ล้านบาท ซึ่งแสดงว่าระบบการให้สินเชื่อโดยสถาบันการเงินได้ทำงานแล้วและมีโอกาสในการขยายสินเชื่อโดยใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้อีกมาก เพราะที่ผ่านมายังดำเนินการได้ไม่มากนัก


 

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน มองเห็นโอกาสที่จะต่อยอดขยายผลให้เร่งขับเคลื่อน จึงให้กระทรวงเกษตรฯ เป็นแกนกลางในการเร่งส่งเสริมปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจบนที่ดินตนเอง สร้างหลักประกัน ให้กับครอบครัว และความมั่นคงในอนาคตควบคู่ไปกับการใช้ไม้ยืนต้นเป็นทรัพย์สินและเป็นหลักประกันสินเชื่อในการเข้าถึงแหล่งเงินทั้งรายย่อยและรายใหญ่ โดยเกษตรกร ประชาชนและผู้ประกอบการจะได้รับวงเงินสินเชื่อรายย่อย 50,000-100,000 บาท ต่อรายและวงเงินสินเชื่อรายใหญ่จากสถาบันการเงินเช่นธนาคารเป็นต้น

 

ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะผนึกความร่วมมือในการขับเคลื่อนขยายผลต่อยอดโครงการนี้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) (BEDO) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ภาคการวิจัย

 

เช่น สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ สวก. ภาควิชาการเช่นสถาบันการศึกษาทุกแห่ง ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ภาคเอกชน เช่น หอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคาร  สภาเอสเอ็มอี ภาคเกษตรกรเช่นสภาเกษตรกรแห่งชาติ สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย สมาคมเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร เกษตรกร ภาคท้องถิ่น เช่น อบจ. เทศบาล อบต. กทม. เมืองพัทยา ภาคีเครือข่ายมูลนิธิ องค์กรเอกชนตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ โดยในวันพรุ่งนี้ (15 ก.ค.) จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อขับเคลื่อนโครงการธนาคารสีเขียวทันที

 

“ปัจจุบัน รัฐบาลได้แก้ไขกฎหมายป่าไม้มาตรา7 โดยยกเลิกไม้หวงห้ามบนที่ดินกรรมสิทธิ์ หรือ สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน สามารถปลูกและตัดไม้เศรษฐกิจได้เหมือนการปลูกพืชเกษตรทั่วไป ทำให้เป็นโอกาสของประชาชนโดยมีไม้เศรษฐกิจทั้งไม้กลุ่มผลไม้กลุ่มสมุนไพรไม้กลุ่มยางไม้ตระกูลกลุ่มไผ่และไม้ยืนต้นอื่นๆ เช่น 1.สัก 2.พะยูง 3.ชิงชัน 4.กระซิก 5.กระพี้เขาควาย 6.สาธร 7.แดง 8.ประดู่ป่า 9.ประดู่บ้าน 10.มะค่าโมง 11.มะค่าแต้ 12.เคี่ยม 13.เคี่ยมคะนอง 14.เต็ง 15.รัง 16.พะยอม 17.ตะเคียนทอง 18.ตะเคียนหิน

 

19.ตะเคียนชันตาแมว 20. ไม้สกุลยาง 21.สะเดา 22.สะเดาเทียม 23.ตะกู 24.ยมหิน 25.ยมหอม 26. นางพญาเสือโคร่ง 27.นนทรี 28.สัตบรรณ 29.ตีนเป็ดทะเล 30.พฤกษ์ 31.ปีบ 32.ตะแบกนา 33.เสลา 34.อินทนิลน้ำ 35.ตะแบกเลือด 36.นากบุด 37.ไม้สกุลจำปี 38.แคนา 39.กัลปพฤกษ์ 40.ราชพฤกษ์ 41.สุพรรณิการ์ 42.เหลืองปรีดียาธร 43.มะหาด 44.มะขามป้อม 45.หว้า 46.จามจุรี 47.พลับพลา 48.กันเกรา 49.กระทังใบใหญ่

 

50.หลุมพอ 51.กฤษณา 52.ไม้หอม 53.เทพทาโร 54.ฝาง 55.ไผ่ทุกชนิด 56.ไม้สกุลมะม่วง 57.ไม้สกุลทุเรียน 58.มะขาม ฯลฯ สามารถนำไม้ยืนต้นมาใช้ เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้รวมถึงการส่งออกไปขายในตลาดต่างประเทศ ตลอดจนพัฒนาระบบการรับรองมาตรฐานไม้มีค่าทางเศรษฐกิจที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ