วันที่ 20 มกราคมนี้ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา มหาอำนาจเศรษฐกิจและมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลก ในหลากหลายมิติ ทั่วโลกจับจ้องฉากทัศน์หลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่งว่าจะเกิดอะไรกับโลกใบนี้บ้าง
ย้อนไปก่อนหน้านี้ “ทรัมป์” เคยประกาศในช่วงการหาเสียงและสัญญาว่าจะทำทันทีหากเขาได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ใน 7 เรื่อง อาทิ จะเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายกลับประเทศ,ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและภาษี เพื่อยุติภาวะเงินเฟ้อ โดยจะขึ้นภาษีศุลกากรอย่างน้อย 10% สำหรับสินค้าจากต่างประเทศ และจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 60% เพื่อลดการขาดดุลการค้า
จะอภัยโทษผู้ก่อเหตุจลาจลวันที่ 6 มกราคม 2564 ซึ่งในขณะนั้นผู้สนับสนุนของทรัมป์ ได้บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา เพื่อขัดขวางชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2563 ของ โจ ไบเดน และสิ่งที่โลกคาดหวัง ทรัมป์ประกาศจะยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ภายใน 24 ชั่วโมง ผ่านการเจรจาข้อตกลง, ไม่สั่งห้ามการทำแท้ง
นอกจากนี้ จะตัดเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม โดยลดกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐ โดยสัญญาว่าจะยกเลิกเป้าหมายของไบเดน ที่สนับสนุนการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และให้คำมั่นที่จะเพิ่มการผลิตเชื้อเพลิงจากฟอสซิล โดยจะสั่งการให้เจาะนํ้ามันเพิ่ม แทนการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน
อย่างไรก็ดี หลังได้รับชัยชนะการเลือกตั้งแล้ว ทรัมป์ เจ้าของวลี “America First” หรือ อเมริกามาก่อนยังประกาศ หรือ มีคำขู่ออกมาเป็นระยะ ที่จะส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและการค้าโลกในหลายเรื่อง เช่น จะขึ้นภาษีสินค้าจีน 60-100% สินค้าจากประเทศต่าง ๆ 10-20% กรณีประเทศไทยหากทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้า 10% นักวิเคราะห์คาดการณ์จะทำให้การส่งออกของไทยไปสหรัฐลดลง 5-10% คิดเป็นมูลค่า 1-1.9 แสนล้านบาท
ทรัมป์ยังประกาศจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากกลุ่ม BRICS (ที่ไทยได้เข้าเป็นสมาชิกแล้ว) 100% หากไม่ใช้สกุลดอลลาร์สหรัฐในการค้าขาย ซึ่งไทยอาจโดนหางเลขไม่มากก็น้อย
ขณะที่ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) วิเคราะห์ผลกระทบ ทรัมป์ ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐคนใหม่ และมีนโยบายกีดกันการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นกว่าสมัยแรกที่เขารับตำแหน่ง โดยจะขึ้นภาษีสินค้าจีน และสินค้าจากทั่วโลก ซึ่งการกลับมาของสงครามการค้าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ และจะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดลง 0.5%
ส่วนสงครามจริงด้วยอาวุธในตะวันออกกลาง ทรัมป์ มีนโยบายแข็งกร้าวไม่ประนีประนอม โดยขู่กลุ่มฮามาสว่า ต้องปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลทันทีหลังจากเข้ารับตำแหน่ง
ไม่เช่นนั้นจะมีหายนะเกิดขึ้น ล่าสุด ทรัมป์ ประกาศแผนจัดตั้งหน่วยงานจัดเก็บรายได้ภายนอก เพื่อเรียกเก็บภาษีศุลกากรและรายได้จากต่างประเทศโดยเฉพาะ ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยในรายละเอียด
จากนโยบายและคำขู่ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่พรั่งพรูออกมาเป็นระยะ ทั้งก่อนและหลังชนะการเลือกตั้ง ทั่วโลกรวมถึงไทยต่างเฝ้าจับตาว่า ในที่สุดแล้วนโยบายหรือคำขู่ หลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 20 มกราคมนี้ ของจริงจะเข้มข้นแค่ไหน
แน่นอนว่า การก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำเบอร์ 1 ของโลก และเป็นผู้นำที่มีสีสันในครั้งนี้ย่อมไม่ธรรมดา และจะส่งผลกระทบกับไทยและโลกในมิติต่าง ๆ อย่างแน่นอน
หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,063 วันที่ 19 - 22 มกราคม พ.ศ. 2568