“ธรรมะ” เป็น “HEART GARD” หมายถึง “ฤทธิ์ที่ดูแลอารักขาจิต” คือ บารมีโดยธรรม ที่แต่ละคนทำเอาไว้มากเกินพอ เรียกว่า “บุญญานุภาพ” คือ “อำนาจแห่งบุญ” ที่ช่วยให้จิตและใจของเรามีพลังตั้งหลักพิจารณาและเลือกสรรฟันธงในกรณีที่จำเป็น
สมมุติกันว่า ถ้า หัวหน้างาน “พูดจามีน้ำใจ” และ “มีน้ำใจตรงกับถ้อยคำที่พูดจา” อย่างเช่น ลูกน้องทำงานหนักเป็นพิเศษ ถ้าเขาเข้าไปทักว่า “น้องพักสักครู่หนึ่งก่อนดีกว่า ที่ค้างอยู่พี่ช่วยเอง” ลูกน้องคงจะพูดตามฟอร์มว่า “ขอบคุณครับ ไม่เป็นไรครับ” เลขท้ายสองตัวยังไม่ทันจะได้หมุนเลย เขาทรุดลงไปนอนกับพื้นเพราะหักโหมมากไป
อันที่จริงผมก็กะจะพิมพ์ต่อว่า “มากไปหน่อย” แต่เกรงว่า “หนูจำมัย” เธอจะเข้ามาถามทันควันว่า “จำมัย มี…มั่ก แล้ว มี…โน้ย โด้ยอ่ะ!” (ฮา)
หัวหน้า มั่นคงในสัตย์ ช่วยทำหน้าที่แทนจนกว่าลูกน้องจะฟื้น สัปดาห์ต่อมาลูกน้องจอมกตัญญูรีบมาเคาะประตูแจ้งข่าวด่วนว่า “ผีเสื้อสมุทรถามหา!”ผลบุญช่วยให้ ลูกพี่ เล็ดรอด รีบแว่บออกจากบริษัทก่อนที่ “แฟนคู่ชีวิต” กลายเป็น “แฟนขู่ชีวิต” (ฮา)
เคยอ่านเจอว่า พระสงฆ์ ท่านกำลังย้อมผ้าจีวรในช่วงเวลาใกล้ค่ำ จู่ๆ ก็มีชาวบ้านแห่กันเข้ามาในวัด ผู้นำกลุ่ม ชะโงกดูในปี๊บที่ตั้งอยู่บนเตาไฟ โวยวายว่า “นี่ไง หลวงพี่ กำลังต้มไก่ของข้าอยู่ พวกเราช่วยกันจับมัด จะได้พาตัวไปสอบสวน…”
พระสงฆ์ ท่านรู้ทันทีว่าชะตาตก ท่านจึงวางมือเงยหน้าขึ้นมาคุยกับผู้นำกลุ่ม ว่า “อาตมาจะไม่ขัดขืน ไหนๆ ก็จะสิ้นวาสนา อาตมาจะขอเวลาไปกราบขอขมาพระพุทธเจ้าในโบสถ์ครั้งสุดท้ายก่อนตายได้ไหม คุณโยม…” ผู้นำกลุ่มอนุญาตให้โอกาสตามคำร้อง
พระสงฆ์รูปนั้นกราบพระประธานแล้วสวดมนต์ จากนั้นนั่งสมาธิ ก่อนจะลุกขึ้นก็ร่ายพระคาถาหลายจบ เสร็จพิธีก็เดินออกมาบอกให้เอาของในปี๊บขึ้นมา ทุกคนแปลกใจเพราะมีแต่ผ้าจีวร ผู้นำกลุ่มตกใจยกมือไหว้ขอขมาลาโทษ แล้วรีบเผ่นกลับด้วยความอับอายที่ชี้ผิดเป้า
ท่านใดเลือกเดินตามรอย พระพุทธเจ้า ถึงแม้ว่าชีวิตยังไม่ “หลุดพ้น” จาก “ความทุกข์” อย่างน้อยที่สุด เราก็พอจะมีลู่ทางโดยธรรมแก้ไขให้ “รอดพ้น”
“ธรรมะ” เป็น “HEART COACH” พระพุทธเจ้า ทรงเป็น พระศาสดา ที่มี พระมารยาทสุดจะล้ำเลิศ ไม่เคยตรัสบริภาษด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ไม่เคยดูหมิ่นใคร ไม่เคยระรานใคร ไม่เคยยกตนข่มท่าน
อย่างเช่น พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นนายพรานกำลังจะหย่อนเบ็ดตกปลา ก็ตรัสถามว่า “ท่านพราน ท่านมีนามว่าอะไร” พรานหันมาพนมมือไหว้แล้วตอบว่า “ข้าพเจ้า ชื่อว่า อริยะ พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงชี้แนะว่า “อริยะ หมายถึง ความประเสริฐ ท่านพราน ยังคิดจะฆ่าสัตว์ แล้วจะประเสริฐได้อย่างไร!” (ฮา)
สำหรับ ท่านพรานอริยะ เมื่อได้ฟังก็ก้มลงกราบแล้วกล่าวคำมั่นถวายต่อพระพุทธเจ้าว่า “นับแต่นี้ไป ข้าพเจ้า จะเลิกฆ่าสัตว์ พระเจ้าข้า!” ครอบครัวใครยังมี “ท่านผู้มีอายุยืน” ลองชวนคุยการฆ่าสัตว์ดูสิ ผมเทหน้าตักว่า เขาไม่ยินดีที่จะฆ่าสัตว์!
อ่านแล้วก็นึกถึงตัวเอง ถ้าผมไม่ให้ความร่วมมือกับใครเลย ก็คงจะมีใครสักคนรำพึงซึ่งหน้าได้เหมือนกันว่า “คุณสุรวงศ์ ชื่อคุณเหมือนถนน แต่ไม่สนใจให้ใครแล่นผ่าน ทำตัวเป็นซอยตันเฉยเลย!” (ฮา)
“หลวงปู่เจี๊ยะ” เป็น “พระสายป่าขนานแท้” ถึงกระนั้น “หลวงปู่มั่น” ท่านไว้เนื้อเชื่อใจเต็มอัตราว่า พระสงฆ์รูปนี้ คือ พระเถระผู้ทรงคุณอันประเสริฐ หลวงปู่เจี๊ยะ ไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้ “พุทธ…หลัว” บุคลิกท่านจี๊ดสุดตัว อารมณ์ขันชวนหัวสุดติ่ง ผมขอขอบคุณ คุณวีระวัฒน์ ชลสวัสดิ์ จะเบิกตัวอย่างอารมณ์ขันที่บันทึกไว้ใน “อารมณ์ขันพระอรหันต์ ภาค 3” น่าอ่านทุกวรรค จึงนำมุกมาอ้างอิงให้เป็นที่ประจักษ์ ดังนี้
“หลวงปู่เจี๊ยะ” พระแท้ ผู้มี วิสุทธิธรรม กับ เมตตาธรรม ฝังจิต บุคลิกท่านมีจุดหวุดหวิดไม่เหมือนใคร ตรงที่พูดโผงผางโฉ่งฉ่าง ชาวบ้านที่ไม่รู้จักอัธยาศัย ก็ตำหนิในใจว่า ทำไมไม่สำรวม การคาดเดากันหลวมๆ อาจจะเพิ่มแต้มบาปก็เป็นไปได้ คนที่คุ้นเคยกับท่านจะขำทุกครั้ง ที่ได้เห็นท่านสำแดงตัวตน อย่างเช่น หลังจากนั่งรถออกบิณฑบาตแล้วหวนกลับเข้าวัด ท่านก็ตะโกนสั่ง ผู้ใหญ่พา ในฉับพลันว่า “เฮ้ย! เอาข้าวมาให้กูกิน...”
ผู้ใหญ่พา ซึ่งเป็น ลูกศิษย์คนสนิท รีบจัดภัตตาหารมาถวาย กาแฟหนึ่งแก้ว หนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับ กับ บุหรี่หนึ่งมวน เป็นเมนูสูตรสำเร็จประจำวัน ของหลวงปู่ ครั้นเมื่อ หลวงปู่เจี๊ยะ นั่งเก้าอี้ ท่านวางตัวตามสบายแบบกันเอง สักอึดใจหนึ่ง ท่านก็จะเริ่มยกขาข้างหนึ่งขึ้นมากระดิกเท้าสั่นไปสั่นมา (ฮา)
ผู้ใหญ่พา มองเท้าท่านที่กำลังกระดิกไปกระดิกมาอย่างน่าเวียนหัว ท่าน หลวงปู่เจี๊ยะ อ่านใจออกจึงพูดชี้แจงตามตรงโดยไม่ต้องส่งซิกเนื้อหาสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “ก็กูขาเจ็บนี่หว่า” (ฮา) หลังจากพูดเสร็จท่านก็ให้พรว่า “ข่าก...ก ถุ๋ย....!” (ฮา)
“ธรรมะ” เป็น “HEART CLEAN” สมดุลกับใครบางคนซึ่งร้องเพลงไม่เปล่งเสียงว่า “ไทยนี้รักสงบ...” ในใจยังแปล๊บที่เสียฟอร์มโดนน็อคยกหนึ่ง จึงขัดเคืองราวกับโดนเหยียบเท้าตอนเล็บขบ หลังจากเพลงชาติจบลง พี่แกก็เปล่งเต็มเสียงดังสนั่นทั้งรถว่า “ไทยนี้สงบรัก...” ปักหมุดอยู่ในใจว่าอยากหลบไปเที่ยวต่างแดนค่อยมาล้างแค้นกันใหม่ เปลืองใจแบบนี้เข้าข่าย “จิตหลัว”
ผมเลิกคุยกับเพื่อนบ้านหน้าเบื่อบางคน ไม่รู้เทวดาองค์ไหนไปหมุนวงล้อให้เขากับผมเดินบนฟุตบาทข้างเดียวกัน ผมเดินเข้า เขาเดินออก ผมลงจากฟุตบาทเปิดทางให้เขาเดิน เขากวักมือให้ผมขึ้นไปเดินแล้วบอกผมว่า “จารย์ต้องเดินบนฟุตบาทเพราะว่าจารย์ไม่เห็นรถที่มาจากด้านหลัง” ผมยกมือไหว้...แพ้ใจมันเลย!