โศกนาฏกรรมที่โคราช ภัยพิบัติร่วมกันของสังคมไทย

13 ก.พ. 2563 | 12:00 น.
2.0 k

คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3548 หน้า  6 ระหว่างวันที่ 13-15 ก.พ.63 โดย...ประพันธุ์ คูณมี

 

 

 

               เหตุโศกนาฏกรรมที่โคราช ที่เกิดขึ้นในวันมาฆบูชา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา อันเกิดจากความวิปริต-บ้าคลั่ง ของจ่าทหารนายหนึ่งที่ก่อเหตุสังหารผู้บังคับบัญชา และฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ซึ่งไม่มีเหตุเกี่ยวข้องหรือสร้างความโกรธเคืองใดๆ ให้กับตน แต่ต้องตกมาเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ จากความวิปริต-วิตถาร ของฆาตกรจ่าทหารผู้บ้าคลั่งในครั้งนี้ ได้สร้างความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แก่ชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ถึง 30 ศพ บาดเจ็บถึง 58 ราย นั้น ต้องนับว่าเป็นโศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของสังคมไทย

               การที่จ่าทหารนายหนึ่ง ซึ่งในหน้าที่การงานและตลอดการดำรงชีวิตของเขา ล้วนอยู่ได้ด้วยเงินภาษีของประชาชนทั้งสิ้น และการถูกฝึกฝนทางทหาร การใช้อาวุธสงครามร้ายแรงของเขา ที่กองทัพต้องเสียงบประมาณไป ก็เพื่อให้เขาทำหน้าที่ด้วยความเสียสละ ปกป้องประเทศชาติ ด้วยการต่อสู้กับอริราชศัตรู ทั้งต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือและรับใช้ประชาชน แต่เขากลับนำอาวุธสงครามร้ายแรงนั้น หันปากกระบอกปืนมาเข่นฆ่าประชาชนเสียเอง ด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และอำมหิตผิดมนุษย์ กราดยิงเพื่อนพี่น้องร่วมชาติร่วมแผ่นดินของตน โดยไม่เลือกหน้า ไม่ว่าทหารด้วยกัน ประชาชนผู้บริสุทธิ์ แม้กระทั่งเด็กเล็ก สตรี ก็ไม่เว้น กระทั่งฆ่ายกครัวทั้ง พ่อ แม่ ลูก

 

               แม้คนเหล่านั้นจะร้องขอชีวิต ฆาตกรผู้อำมหิตในคราบของทหาร ก็ไม่เว้นและไม่มีความปรานีใดๆ แม้แต่น้อย ถือเป็นเหตุแห่งความวิปริตที่เกิดขึ้นครั้งร้ายแรงที่สุดของสังคมไทย ชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเหตุเช่นนี้ และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในบ้านเมืองของเรา เป็นเหตุการณ์และสภาพสะท้อนที่แสดงให้เห็น “อาการป่วยของสังคม” และถือเป็นความวิบัติที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในสังคมไทย สังคมเมืองพุทธศาสนา ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นมาได้ และเหตุรุนแรงเช่นนี้ก็เกิดขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ บ่อยๆ ถี่ขึ้น ในบ้านเมืองเรายุคปัจจุบัน และที่แปลกยิ่งขึ้นคือฆาตกรต่างเป็นบุคคลที่มีหน้าที่การงานดี มีการศึกษา มีตำแหน่งหน้าที่ในราชการ แต่กลับกระทำการอำมหิตผิดมนุษย์ปกติทั่วไป

               อะไรคือสาเหตุ ที่ทำให้คนในบ้านเมืองของเรายุคปัจจุบัน มีจิตใจต่ำทราม ชั่วช้าอำมหิต วิปริต-วิตถาร มีความสามานย์เพิ่มมากขึ้นทุกวันเช่นนี้ มีพฤติกรรมกล้ากระทำชั่วไม่กลัวบาป กล้าทำร้ายเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ทั้งๆ ที่มิได้มีสาเหตุโกรธเคืองร้ายแรงใดๆ ต่อกัน นี่คือปัญหาและสาเหตุที่สังคมไทย มีความจำเป็นต้องค้นหาคำตอบครับ เราต้องหาทางหยุดความรุนแรงอันป่าเถื่อนนี้ให้ได้ เพราะการตัดสินปัญหาด้วยความรุนแรง และการใช้อาวุธและใช้กำลังประหัตประหารกัน ในการจัดการปัญหาความขัดแย้ง นับวันแต่จะทวีมากยิ่งขึ้น

               สวนทางกับความเจริญทางเทคโนโลยี หากเราไม่สามารถฟื้นคืนสังคมไทยที่ดีงามของเรากลับคืนมา ในยุคสมัยที่สังคมโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป ความรุนแรงที่มนุษย์เรากระทำต่อกัน กลับจะเป็นปัญหาร้ายแรงกว่าไวรัส หรือโรคระบาด น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าอันตรายใดๆ เสียอีก การที่ประชาชนไม่อาจมีความปลอดภัย ไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้โดยสงบสุข ไม่รู้ว่าภัยอันตรายและความตายจะเกิดขึ้นเมื่อใด ที่ไหน เมื่อไรนั้น และมันพร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อตลอดเวลานั้น นับว่าเป็นโรคร้ายและอันตรายยิ่งกว่าเชื้อโรค ที่มนุษย์รู้เห็นที่มาสาเหตุ และสามารถคิดค้นยาพิชิตเอาชนะมันได้

               เหตุสูญเสียอันเกิดจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ นับเป็นเรื่องน่าเศร้าสลดเสียใจเป็นอย่างยิ่ง มันมิได้เป็นความสูญเสียเฉพาะครอบครัวผู้ประสบเหตุเท่านั้น ยังถือเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของคนไทยทั้งชาติร่วมกันทุกคน คนไทยทุกคนเป็นเพื่อนร่วมชาติ เป็นเหมือนญาติมิตรครอบครัวเดียวกัน นั่นคือ “ครอบครัวประเทศไทย” เราจึงต้องแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังครอบครัวผู้สูญเสียและได้รับเคราะห์กรรม เราต้องช่วยเหลือกัน ให้กำลังใจต่อกัน โดยไม่ทอดทิ้งให้พี่น้องเหล่านั้นต้องเศร้าโศกร้องไห้เสียใจแต่เพียงลำพัง

 

               เหตุการณ์ครั้งนี้ที่คลี่คลายลงไปได้ ต้องขอบคุณรัฐบาล หน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ แพทย์ พยาบาล และทุกๆ คนที่มีส่วนช่วยกันให้เหตุการณ์สงบลงและคลี่คลายลงด้วยดี โดยเฉพาะ ผบ.ตร.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ได้ทำหน้าที่สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ การให้กำลังใจกับทุกๆ คนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ ถือเป็นน้ำใจที่งดงามของคนไทยที่ควรมีให้กันในยามยากและเผชิญปัญหาวิกฤติเช่นนี้ จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่ใครจะฉวยโอกาส นำเรื่องนี้มาโจมตีกันด้วยประเด็นทางการเมือง

               สิ่งสำคัญที่สุดหลังเหตุการณ์จบสิ้นลง คือการศึกษาหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา และหาทางหยุดยั้งสภาพปัญหานี้มิให้เกิดขึ้นได้อีกในสังคมไทย หยุดความรุนแรงที่มนุษย์ในสังคมกระทำต่อกัน คืนสังคมไทยที่ดีงามของเราให้ฟื้นกลับคืนมาดั่งเดิมให้ได้อย่างไร นี่เป็นปัญหาสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐบาลพึงจะต้องทุ่มเทเอาใจใส่ ด้วยความจริงจังต่อปัญหานี้ เราจะต้องเก็บรับบทเรียนในอดีตเพื่อป้องกันระมัดระวังมิให้เกิดขึ้นต่อไปอีกในอนาคตอย่างไร น่าจะเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่า

               แม้การแก้ปัญหาและเยียวยาเฉพาะหน้า เป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นหน้าที่อันพึงปฏิบัติอย่างยิ่งของรัฐบาลก็ตาม แต่รัฐบาลคงไม่อาจละทิ้งหน้าที่ที่จะต้องแก้ไขปัญหาในระยะยาว การเอาชนะและยุติโรคร้ายจาก “อาการป่วยทางสังคม” เพื่อหยุดโรคความรุนแรงอันป่าเถื่อน หยุดโรคความวิปริตทางจิตใจของคน น่าจะเป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุ และสร้างความสงบสุขในสังคมไทยให้ยั่งยืนยิ่งกว่า

               จึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญ เพื่อมิให้ความสูญเสียครั้งนี้ต้องสูญเปล่า จำเป็นที่สุดที่สังคมต้องแปรความเศร้าโศก การสูญเสียให้เป็นพลัง แปรวิกฤติให้เป็นโอกาส เพื่อระดมบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีความรู้และประสบการณ์ ในด้านจิตวิทยา ทัณฑวิทยา สังคมวิทยา อาชญวิทยา ตำรวจ ทหาร ฝ่ายความมั่นคงและด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มาร่วมกันหามาตรการการป้องกันเหตุร้ายและเตรียมการรับมือกับมัน ให้ความรู้แก่ประชาชนในวิธีปฏิบัติตนและรณรงค์ปลูกฝังความคิด ทัศนคติที่ถูกต้องและวัฒนธรรมใหม่ที่ดีงามแก่ประชาชนคืนสู่สังคมเถอะครับ ก่อนที่ประเทศของเราจะกลายเป็นนรกของเมืองพุทธศาสนา

               เพราะเหตุครั้งนี้ถือเป็นภัยและปัญหาทางสังคมของคนไทยด้วยกันทุกคน การศึกษาวิจัยเพื่อค้นหาความจริง หาสาเหตุของปัญหา และมาตรการป้องกันรับมือกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นทางรอดทางออก เพื่อลดปัญหาและความสูญเสียที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้  

               การวิเคราะห์หรือวิพากษ์วิจารณ์ โดยปราศจากข้อมูลข้อเท็จจริง หรือข้อมูลความรู้ที่ดี หาได้ช่วยอะไรแก่สังคมไทยได้เลย