*** บอกตรงๆ ว่า เจ๊เมาธ์กำลังมองปัญหาที่หลายคนโทษว่า การที่ราคาหุ้นของ AOT ปรับลงมาแรงจากราคา 55-60 บาท ลงอยู่ที่ 42-43 บาท ซึ่งน่าจะเป็นฐานราคาใหม่ เป็นผลมาจากการที่ “คิงเพาเวอร์” กำลังเผชิญสภาพคล่องตกต่ำจนอาจผลกระทบร้ายแรงต่อรายได้ของ AOT ดูจะเป็นการปัดความรับผิดชอบออกไปแปลกๆ อย่างไรก็ไม่รู้!!!
ว่าแต่ทำไมเจ๊เมาธ์ถึงคิดแบบนั้น....
อย่างแรก ต้องบอกว่าปัญหานี้มีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องของการกระจายความเสี่ยง ในเรื่องที่มาของแหล่งรายได้ของบริษัท ซึ่งแม้ว่า AOT จะเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจแบบกึ่งผูกขาด (Monopoly) แต่การที่จะมาอาศัยแหล่งรายได้เพียงไม่กี่ธุรกิจแล้วทำตัวเป็น “เสือนอนกิน” หรือแม้จะมีรายได้หลายทาง แต่การที่พยายามสร้างภาพว่ามีรายได้มากๆ จากไม่กี่ธุรกิจโดยไม่สร้างเชฟโซนที่มั่นคงในเรื่องของแหล่งที่มาของรายได้นั้น ถือว่าผิดหลักการของการทำธุรกิจขนาดใหญ่อยู่แล้ว
อย่างที่สอง เป็นเรื่องสภาพคล่องของ “คิงเพาเวอร์” ที่จะต้องจ่ายให้กับทาง AOT หลังจากที่ “คิงเพาเวอร์” ชนะประมูลการจัดหาผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ และ สนามบินภูมิภาค ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ AOT ในช่วงปี 2562
จนเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เป็นเหตุให้สนามบินทั่วโลกต้องงดการให้บริการ และแน่นอนว่าร้านขายสินค้าปลอดอากรที่อยู่ในสนามบินก็ไม่สามารถขายสินค้าได้ ซึ่งแม้กฎหมายจะไม่ได้บังคับ แต่ควรจะถือว่าเป็นความรับผิดชอบของทั้ง AOT และ คิงเพาเวอร์ ร่วมกันอยู่ดี
อย่างที่สาม เป็นปัญหาการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนว่าท้ายที่สุดแล้วทาง “คิงเพาเวอร์” เพียงร้องขอให้มีการปรับลดดอกเบี้ยค้างจ่ายผลตอบแทนดิวตี้ฟรีจาก 18% เหลือประมาณ 9% หรือว่าได้ขอปรับแก้สัญญาเพื่อปรับลด Minimum Guarantee กับทาง AOT กันแน่
ทั้งนี้ กว่าจะถึงเวลาที่ทางผู้บริหารของ AOT จะออกมาให้ข้อมูลว่าจะไม่มีการปรับแก้สัญญาเพื่อปรับลด Minimum Guarantee ใดๆ ราคาหุ้นของ AOT ก็ร่วงลงหนัก จนสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนไปเรียบร้อยแล้ว...
ท้ายที่สุด เป็นเรื่องของตลาดหุ้นไทยที่กำลังอ่อนไหวจากการที่ดัชนีหุ้นไทยปรับลงมากที่สุดในโลกจนทำให้นักลงทุนต่างพากัน “ระแวงภัย” หรือถ้าจะพูดภาษานิยายกำลังภายใน ก็คือ นักลงทุนไทยอยู่ในภาวะ “นกหวาดเกาทัณฑ์”
เพราะทันทีที่มีข่าวไม่ดีมาสะกิด นักลงทุนก็พร้อมที่จะทิ้งหุ้นหนี้ได้ทุกเวลา...ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนไปถึงการขาดความเชื่อมั่นที่มีต่อตลาดหุ้นไทยอย่างไม่ต้องสงสัย...
อย่างไรก็ตาม แม้จะบ่นมาเยอะ แต่เจ๊เมาธ์ก็ยังมองว่า บริษัทที่ดำเนินธุรกิจแบบกึ่งผูกขาด (Monopoly) อย่างเช่น AOT ถือว่าเป็นหุ้นที่ควรจะมีเอาไว้ ซึ่งในความเป็นจริงปัญหาที่เกิดจาก “คิงเพาเวอร์” ก็ไม่ได้ใหญ่โตจนถึงขั้นที่จะทำให้ AOT ถึงกับ “เจ๊ง” ได้อยู่แล้ว
ดังนั้น คำพูดที่ว่า “กล้าในจังหวะที่คนอื่นกลัว” ยังใช้ได้อยู่เสมอ และยิ่งอยู่ในช่วงที่กำลังลดราคาอยู่แบบนี้ก็ยิ่งทวีความน่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิมมากกว่าเดิมอยู่แล้ว