*** หลังดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงจนหลุดแนวรับที่ 1300 จุดกลายเป็นตลาดหุ้นที่มีอัตรา “ถดถอย” มากที่สุดลำดับต้นๆ ของโลก ทำให้นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจว่า ตลาดหุ้นไทย จะเดินไปในทิศทางใด บ้างก็มองไปถึงทฤษฎี “ต้มกบ” ที่ถึงแม้ว่าจะขึ้นบ้างลงบ้าง แต่ท้ายที่สุดก็อยู่ในฝั่งขาลงมากว่าขึ้น หรือว่า กำลังอยู่ในช่วงไซต์เวย์ จนหาทางไปไม่เป็น และโดยส่วนใหญ่แล้ว นักลงทุนกลุ่มนี้มักจะเลือกทางถอย หรือหยุดพักการลงทุนชั่วคราว มากกว่าที่จะเลือกในสิ่งที่ยังไม่แน่ใจ
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักลงทุนอีกกลุ่มที่มองว่า ตลาดหุ้นไทย กำลังจะผ่านจุดต่ำสุด และแน่นอนว่านักลงทุนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ ยังมีทุนเหลือพอที่จะทำตัวเป็น “ชาวสวน” คอยดักเก็บหุ้นดีราคาถูกที่มองว่า มีอยู่เต็มตลาด ประมาณว่า เป็นการมองหา “หลุมหลบภัย” เพื่อรอเวลาที่ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาดีขึ้น
ว่าแต่ว่าหุ้นกลุ่มไหน หรือ หุ้นตัวใดที่น่าสนใจในเวลานี้!!!
บล. ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ CGSI มองว่า ตัวเลือกที่ดีในสถานการณ์นี้ คือ หุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ และมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลน้อยกว่า ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มการแพทย์, กลุ่มธนาคาร และ กลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ขณะที่หุ้น Top pick ของประกอบด้วย AMATA, BCH, BH, CBG, CPN, CRC, MTC และ SCB
ขณะที่ บล.ทรีนิตี้ ระบุว่า อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ครึ่งหลังปี 2567 ของกลุ่มฯ ยังเป็นระดับที่ค่อนข้างจูงใจ โดยหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลคิดเป็น Dividend Yield โดดเด่นประกอบด้วย SCB, TISCO และ KTB
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงการเติบโตของกำไรสุทธิ, ความแข็งแกร่งของงบการเงิน และ ราคาหุ้นปัจจุบันร่วมด้วยแล้ว เลือก KTB และ BBL เป็นหุ้น Top Pick ของกลุ่ม
ส่วนทาง บล.ทิสโก้ ให้น้ำหนักกลุ่มที่มีสัญญาณแข็งแกร่งกว่าตลาดในปีนี้ เช่น กลุ่ม BANK และกลุ่ม COMM โดยเน้นที่อยู่ใน SETHD Index ที่มีโอกาสชนะตลาดในระยะสั้น และไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ ได้แก่ AP, BBL, KTB, TASCO
ผสานกับหุ้นอิงการบริโภคในประเทศ ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ และไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ คือ BJC และ CRC และหุ้นม้ามืดที่อาจถูกหยิบขึ้นมาเก็งกำไรในเดือนกุมภาพันธ์จากการจ่ายเงินปันผลที่สูง คือ KGI
อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ๊เมาธ์แล้วการ “รุกให้เป็น...ถอยให้ได้” ช่วยลดความเสี่ยง และความเสียหายที่เกินจะควบคุมได้นะคะ เพราะถ้ายังไม่แน่ใจ นาทีนี้จะนั่งทับมือไปก่อนก็ไม่มีใครว่า ดังนั้น หุ้นกลุ่มที่จับมาเล่าให้ฟังก็ล้วนแต่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ อย่างน้อยที่สุดการ “ขายหมูก็ดีกว่าติดดอย” อยู่แล้วค่ะ
*** เจ๊เมาธ์เคยบอกไปก่อนแล้วว่า สำหรับหุ้นอย่าง MOTHER ที่มาด้วยปริมาณหุ้นไอพีโอ เพียง 86 ล้านหุ้น รวมไปถึงการที่อาจจะมี MM ใจกล้าเข้ามาช่วย แม้จะทำให้หุ้นน้องใหม่ตัวนี้ สามารถยืนราคาสูงเหนือจองในการซื้อขายวันแรก แต่ก็ไม่น่าไว้วางใจ...
จนในที่สุดเมื่อเข้าตลาดมาจริงๆ หุ้นไอพีโอน้องใหม่ตัวนี้ ก็สามารถเปิดและปิดราคาหุ้น ในการซื้อขายวันแรก ไปสูงกว่าราคาจองซื้อได้ตามคาด เพียงแต่หลังจากที่เข้าตลาดมาเพียง 2 วัน ราคาซื้อขายหุ้นหน้ากระดานของ MOTHER ก็มีอันต้องหลุดต่ำกว่าราคาจองซื้อ
สาเหตุเจ๊เมาธ์เคยบอกไปแล้วว่า หุ้นตัวนี้ที่ต้องมองมีเพียง 2 เรื่อง โดยอย่างแรก ก็เป็นเพราะกำไรสุทธิที่อยู่ในระดับเพียง 1-2% ซึ่งถือว่าบางมาก เมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นๆ ส่วนเรื่องที่สอง ก็คงหนีไม่พ้นไปจากวิธีการเข้าตลาดในแบบซุ่มมาเงียบๆ จนเป็นเหตุให้นักลงทุนที่หลวมตัวเข้าไปซื้อหุ้นจอง ยังไม่รู้เลยว่าบริษัทนี้ทำกิจการอะไรกันแน่
ดังนั้น เมื่อจับเอาความไม่น่าไว้ใจทั้งสองเรื่องมารวมกัน ...รวมไปถึงประเด็นของ MM ที่รับจบภารกิจหลังการเอาหุ้นเข้าตลาด โดยการันตีการขายไอพีโอให้ได้ทั้งหมด และดูแลราคาหุ้นไม่ให้ต่ำจองหลังเปิดการซื้อขายครั้งแรก
ก็อย่างว่า...บอกกันไปแล้ว แต่แรงดึงดูดมันยั่วใจ จนท้ายที่สุดจึงทำให้ในวันที่ 2 หลังจากที่ไม่มีคนดูแลราคาหุ้น อาการที่เรียกกันว่า “ลุกช้าจ่ายรอบวง” ถึงได้เกิดขึ้นอย่างที่เห็นนี่เองเจ้าค่ะ