RS ไม่ได้เจ็บแค่รายย่อย...เฮียก็เจ็บ!!!

15 ม.ค. 2568 | 06:00 น.

RS ไม่ได้เจ็บแค่รายย่อย...เฮียก็เจ็บ!!! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

*** ดูเหมือนว่ากรณีหุ้นของ RS ที่ถูกบังคับขาย (Force Sell) จนเป็นเหตุให้ราคาหุ้นร่วงลงติดกันกว่า 4 ฟลอร์ ทำให้เหล่านักวิจารณ์ นักวิเคราะห์ หรือ แม้แต่เหล่าผู้คุมกติกาของตลาดหุ้นไทย กลุ่มคนเหล่านี้กำลัง “หลงประเด็น” ในเรื่องสาเหตุที่แท้จริงของการนำหุ้นไปวางค้ำประกัน “เงินกู้มาร์จิ้น” หรือที่เรียกกันว่า Margin loan หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะเป็นการ “กล่าวโทษ” คนอื่นในเรื่องที่ตัวเองอาจจะลืมคิด คิดไม่ถึง หรือกำลังพยายามมองข้าม จนอาจลามไปถึงขั้นของการโยนความผิดออกไปให้คนอื่นก็เป็นได้

ว่าแต่ทำไมเจ๊เมาธ์ถึงมองว่า มีคนกำลังหลงประเด็นจากกรณีการถูกบังคับขายหุ้นของ RS กันหละ!!! 

อย่างหนึ่ง สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และมีปัญหากีฬาสีทางการเมือง ที่ลากยาวกันมาเกือบจะ 20 ปี ทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไม่ไปไหน 

ขณะที่จนถึงวันนี้ ตลาดหุ้นไทยมีบัญชีหุ้นอยู่เพียงแค่ 3 ล้านกว่าบัญชี แต่กลับมีบัญชีที่เคลื่อนไหว (Active) อยู่แค่เพียงไม่กี่แสนบัญชี สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดเงินและตลาดทุนของไทยกลายเป็นตลาดที่ไม่มีเสน่ห์ และขาดแรงดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ หรือ แม้แต่กับนักลงทุนในประเทศไทยนั่นเอง

เรื่องที่สอง ก็คือ ปัญหาธุรกิจของบริษัทที่เข้าระดมทุนในตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็น SET หรือ mai เป็นกลุ่มธุรกิจเก่าๆ ขณะที่ธุรกิจใหม่ๆ ที่น่าสนใจไม่สามารถดึงดูดความสนใจของนักลงทุน ซึ่งนั่นก็จะมีผลต่อเนื่องไปจนถึงเรื่องปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นไทย ที่ยังคงไม่เติบโตอย่างที่เห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ท้ายที่สุด เป็นเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะมาตรการการแก้ไขปัญหาของผู้คุมกติกา ที่มักจะออกมาล่าช้าในลักษณะของ “วัวหายแล้วล้อมคอก” ซึ่งแทบทุกครั้งก็จะยังคงเป็นไปในแบบเดิมๆ นั่นก็คือ เมื่อเกิดปัญหาก็ตามแก้โดยที่ไม่ค่อยจะได้เห็นมาตรการในการป้องกันปัญหาใหม่ จนทำให้นักลงทุน ต่างก็เบื่อหน่ายกับวิธีการทำงานแบบเดิมที่ไม่มีพัฒนาการ 

กล่าวโดยสรุปเจ๊เมาธ์กำลังมองว่า “ก้าวที่พลาด” ในการเดินเกมด้วยการเอาหุ้นไปจำนำของ “เฮียฮ้อ” จนทำให้เกิดเสียงก่นด่าและกล่าวโทษว่าเป็น “เฮีย” ที่ทำให้นักลงทุนรายย่อย “เจ๊ง” กันทั้งบ้านทั้งเมืองในตอนนี้ กำลัง “ถูกเบี่ยงเบนประเด็น” ไปจากเรื่องที่ “ตลาดหุ้นไทยถูกทิ้งเพราะไม่น่าสนใจ” เพื่อให้คนบางกลุ่มสามารถลอยตัวเหนือปัญหา เพราะทำอะไรไม่ได้ หรือ ทำไม่เป็น

อย่าลืมว่า การที่ราคาหุ้นของ บมจ.อาร์เอส หรือ RS เริ่มมีแต่แรงเทขาย แต่กลับไม่มีแรงรับซื้อตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 7 ม.ค. จนปรับร่วงต่อเนื่องถึง 4 ฟลอร์ ก่อนที่จะมีแรงรับซื้อกลับคืนมาในวันที่ 10 ม.ค. ซึ่งก็ชัดเจนแล้วว่า หุ้นของ RS ที่อยู่ในมือของเฮียฮ้อ “สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์” ที่ถูกบังคับขาย เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 68 เป็นการขายผ่านออกมาทาง บล.กรุงศรี และ บล.ธนชาต คิดเป็นจำนวนหุ้นราว 119 ล้านหุ้น หรือ 5.4523% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ส่งผลให้ล่าสุด “เฮียฮ้อ” เหลือหุ้นอยู่ในมือราว 337 ล้านหุ้น หรือ คิดเป็น 15.4406% ของหุ้นทั้งหมดของ RS

อย่างที่สอง มีความชัดเจนว่า การนำหุ้นไปวางค้ำประกัน  “เงินกู้มาร์จิ้น” ในกรณีของ “เฮียฮ้อ” การนำหุ้นของ RS ไปจำนำกลับเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้เงินในด้านอื่น ไม่ได้เป็นไปเพื่อการเอาเงินไปทำราคาหุ้น อย่างเช่น การทำ Corner หรือ การกวาดซื้อหุ้น จนทำให้มีอำนาจในการควบคุมราคาหุ้นแต่อย่างใด

อย่างที่สาม ถึงแม้ว่าจะถูกบังคับขายหุ้นจำนวนมากออกมา.แต่มาจนถึงตอนนี้ “เฮียฮ้อ” ก็ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ RS ซึ่งกรณีนี้แตกต่างออกไปจากกรณีการบังคับขายหุ้น ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้กับบริษัท อย่าง MORE YGG หรือ แม้แต่กรณีล่าสุดที่เพิ่งจะเกิดขึ้นกับ SCM 

เพราะหลังเสร็จสิ้นกระบวณการบังคับขาย (Force Sell) ก็พบว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเหล่านี้ แทบจะไม่มีหุ้นของบริษัทเหลืออยู่เลย จนลามไปจนถึงขั้นที่หลายบริษัท จำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างการบริหาร เพราะมีผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่เข้ามาแทนที่กันเลยทีเดียว 

ท้ายที่สุด เจ๊เมาธ์ก็มองว่า ถึงแม้ว่า “เฮียฮ้อ” จะเคยได้เงินจากการจำนำหุ้นไปส่วนหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดเมื่อราคาหุ้นปรับร่วงลงจนไม่ “เฮียฮ้อ” ไม่สามารถจะควบคุมอะไรได้ ก็ทำให้มูลค่าหุ้นที่มีอยู่ รวมไปถึงเครดิตที่สะสมมานาน ล้วนแล้วแต่หายไปด้วยเช่นกัน ซึ่งนั้นก็ทำให้ไม่ใช่แค่นักลงทุนรายย่อยที่เจ็บหนัก แต่เฮียฮ้อก็เจ็บหนักเช่นกัน!!!