จากการติดตามข่าวของนายหวาง ซิงหรือซิง ซิง นักแสดงตัวประกอบที่ถูกหลอกให้มาทำงานการแสดงที่ประเทศไทย แล้วถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์อุ้มหายไปในชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้ดำเนินการช่วยเหลือ จนกระทั่งสามารถนำตัวกลับเข้ามาประเทศไทยได้ แม้สภาพร่างกายจะดูย่ำแย่ สภาพจิตใจก็คงไม่แพ้สภาพร่างกายแน่นอน แต่ก็ยังดีที่กลับมาแบบยังมีลมหายใจอยู่ ไม่ได้ห่อตัวนอนบนแปลกลับมา แทนที่จะมีเสียงชื่นชมหรือเสียงสรรเสริญเยินยอในความสามารถของเจ้าหน้าที่เรา กลับได้รับแต่เสียงในทางลบต่อประเทศไทยจากกลุ่มสื่อมวลชนของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ผมจึงอยากจะมาวิเคราะห์ให้พวกเราฟังว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ก่อนอื่นต้องมองไปที่สังคมของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนก่อนนะครับ ในช่วงระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา หลังจากระบบ AI ได้เข้ามามีบทบาทในสังคมโลก สิ่งที่ตามมาคือการใช้ความสามารถในทางลบ มาใช้หลอกลวงคนที่รู้ไม่เท่าทัน ด้วยการอาศัย “ความโลภ”ของมนุษย์เป็นฐาน จากนั้นก็หลอกล่อว่า “จะให้”อย่างนั้นอย่างนี้แก่ผู้ที่กำลังอยู่ในภวังค์ของความต้องการ ซึ่งก็ได้ผลอย่างดียิ่ง จึงทำให้เกิด “กลุ่มคอลเซ็นเตอร์”เกิดขึ้นนั่นเอง
เมื่อกลุ่มดังกล่าวนี้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ธุรกิจที่เคยรุ่งเรืองในอดีตก่อนที่ AI จะเข้ามา ที่เป็นธุรกิจที่ไม่ได้คำนึงถึงบาปหรือจะทำให้ใครเดือดร้อน เช่น “ธุรกิจบ่อนกาสิโน” ที่ทำให้คนสามารถบ้านแตกสาแหรกขาด กลุ่มธุรกิจนี้ก็หาได้สนใจไม่ อีกทั้งต่อมาในยุคที่คนเริ่มจะรับรู้พิษสงของการพนัน เริ่มจะเข้าไปใช้บริการลดลง กลุ่มธุรกิจนี้จึงได้เข้าสู่การใช้ AI เข้ามาช่วย ด้วยการทำธุรกิจ “การพนันออนไลน์”จึงเกิดขึ้นมา เป็นที่ทราบกันดีว่าไม่ว่าธุรกิจใดก็ตาม “การทำกำไรได้สูง ก็สามารถให้ผลตอบแทนแก่คนชักจูงหรือนายหน้าได้สูง” ซึ่งมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ดังนั้นจึงมีการเอาเม็ดเงินมาล่อให้คนหนุ่มสาว เข้ามาสู่วงการนายหน้าชักจูงคนมาเล่นการพนัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
ทำไมถึงบอกว่าเป็นเช่นนั้น สาเหตุมาจากจำนวนประชากรของประเทศเขา มีมากถึงหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคน โดยคนที่มีรายได้ต่ำกว่ามาตรฐานมีมากถึงหนึ่งในสาม(หกร้อยล้านคน)เลยทีเดียว ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ยังไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศเลย ซึ่งมีมากกว่าจำนวนประชากรของไทยเรากว่าสิบเท่าเลยครับ แน่นอนว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสทางการศึกษามากนัก อีกทั้งไม่ได้เปิดหูเปิดตาดูโลกภายนอกเท่าที่ควร ดังนั้นจึงถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงได้ง่าย เพียงแค่บอกว่าที่ประเทศนั้นประเทศนี้มีงานที่มีรายได้สูงกว่าประเทศจีนสาธารณรัฐประชาชนกี่เท่าตัว เขาก็อยากจะดิ้นรนออกนอกประเทศไปทำงานแล้วครับ
ในอดีตยุคที่พ่อ-แม่ ปู่-ย่า ตา-ยายเราเดินทางมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของไทยเรา ก็ถูกชักชวนโดยคนในหมู่บ้านมาเช่นกัน ในยุคนั้นแค่ส่งข่าวไปบอกว่าที่สยามประเทศ(เซี่ยมล้อ) เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แต่ในยุคนั้นที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน กำลังเผชิญกับภัยแล้ง และภัยสงครามความแตกแยก พ่อ-แม่ผมที่ไม่มีความรู้เลย คุณพ่อเรียนจบแค่ประถมหก คุณแม่เขียนชื่อตัวเองยังไม่เป็นเลย เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ก็ยังกล้าที่จะขายควายไปสองตัว เพื่อนำเงินมาซื้อตั๋วเรือสำเภา เดินทางรอนแรมนานถึงสองเดือน มาถึงเมืองเซี่ยมล้อเลยครับ นับประสาอะไรกับยุคปัจจุบัน ที่นั่งเครื่องบินแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ออกนอกประเทศ ไปยังจุดหมายปลายทางได้แล้ว การหลอกลวงคนให้ออกมาแสวงหาโอกาสยังต่างประเทศ จึงเกิดขึ้นง่ายมากๆครับ
เมื่อแรงงานออกมาทำงานในกาสิโนยังต่างประเทศ ช่วงแรกๆก็แค่ใช้เครื่องมือสื่อสาร หลอกลวงให้คนเข้ามาเล่นการพนัน ถ้าหลอกลวงได้ก็จะได้ผลตอบแทนเป็นเม็ดเงิน ที่มากมายเพียงพอที่จะล่อใจคนให้ทำชั่วได้ แต่ต่อมาระยะหลังๆมานี้ คนทั่วไปเริ่มจะรู้เท่าทันกัน การหลอกลวงจึงยากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่เคยหลอกได้ก็ไม่สามารถทำได้แล้ว คนที่ทำงานก็เริ่มที่จะทำได้ยากขึ้นก็ไม่มีแรงจูงใจทำ การเฉื่อยชาและความกระตือรือร้นที่จะทำก็ไม่เกิด จึงทำให้กลุ่มที่เป็นนายทุนเริ่มที่จะหมดความอดทน ต่อความเฉื่อยชาของคนที่ถูกหลอกให้มาทำงาน จึงได้เกิดการทรมานคนทำงานเพื่อที่จะกระตุ้นให้เร่งมือจึงเกิดขึ้น เราคงได้ยินข่าวการทุบตี ทรมาน ที่หนักๆก็ถึงแก่ชีวิต หรือข่าวการเจาะเอาอวัยวะของมนุษย์ที่เป็นคนทำงาน หรือการถูกบังคับให้หญิงสาวที่มาทำงาน แล้วไม่สามารถทำผลงานได้ ไปเป็นสาวบริการ ฯลฯ ให้เห็นบนสื่อออนไลน์ ที่ส่วนใหญ่มาจากสื่อจีนทั้งนั้นแหละครับ
ข่าวที่เราเห็นๆกันนั้น ส่วนใหญ่ช่วงยุคแรกๆก็จะบอกว่า สถานที่เกิดเหตุอยู่ที่ประเทศกัมพูชา เพราะในยุคแรกๆบ่อนกาสิโนที่ประเทศกัมพูชาจะเยอะมาก ต่อมาพอบ่อนกาสิโนในกัมพูชาได้ถูกทางการจีนขอให้มีการปราบปราม จึงทำให้บ่อนเหล่านั้นย้ายฐานไปอยู่ที่ชายแดนที่ติดกับจีนที่ภาคเหนือของเมียนมา หลังจากนั้นก็เริ่มมาเปิดที่ฝั่งชายแดนไทย-เมียนมาที่เมืองเมียวดี ที่ตั้งของเมืองกาสิโน “ชเวโก๊กโก่” สถานที่เกิดเหตุของปรากฏการณ์ซิง ซิงนี่แหละครับ
ซึ่งต่อมาการหลอกลวงในลักษณะนี้ ทางการจีนเองก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลย เขาได้ดำเนินการกระจายข่าวโดยใช้สื่อออนไลน์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้มากที่สุด เพราะทางการจีนก็ทราบว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ในประเทศเขา การทำมาหากินเพื่อความอยู่รอดนั้นยากเย็นมาก ถ้าหากมองถึงค่าครองชีพในเมืองใหญ่ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ตัวอย่างรายได้ของคนหนุ่มสาวที่ทำงานบริการในร้านอาหาร เดือนละประมาณ 3-4 พันหยวน ในขณะที่ค่าอาหารการกิน ถ้าหากไม่ได้ทำอาหารกินเอง บะหมี่หนึ่งชามก็สามสิบหยวนแล้ว หรือการเดินทางถ้าไม่มีรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเอง ค่าเช่าต่อวันก็สาม-สี่สิบหยวนแล้ว ไหนจะต้องมีค่าเช่าบ้าน ค่าสินค้าเครื่องใช้ประจำวัน ต้องบอกว่าเงินเดือนที่ได้ เดือนชนเดือนก็แทบเอาตัวไม่รอด ไม่ต้องบอกว่าจะซื้อบ้าน-ซื้อรถหรอกครับ มองไม่เห็นช่องทางเลย นี่คือประเทศที่เป็นมหาอำนาจอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนนะครับ ดังนั้นคนหนุ่มสาวเหล่านี้ จึงเป็นเหยื่อให้กลุ่มมิจ(ฉาชีพ)ทั้งหลาย หลอกลวงให้ไปทำงานต่างประเทศได้ง่ายมากๆครับ
ยังไปไม่ถึงเรื่องของซิง ซิงหรือนายหวาง ซิง พระเอกของปรากฏการณ์นี้เลย หน้ากระดาษก็หมดอีกแล้ว คงต้องต่อภาคสามต่อไปนะครับ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ