YOLO เริ่มเป็นศัพท์ที่ผ่านหูผ่านตา และถูกหยิบมาใช้บ่อยขึ้น ในการอธิบายพฤติกรรมของกลุ่มคนที่มีแนวคิดว่า YOLO ถูกย่อมาจาก You Only Live Once ซึ่งมีความเชื่อว่า เรามีเพียงชีวิตเดียว เพราะฉนั้นคนกลุ่มนี้จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ทุ่มเทในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยมองข้ามเรื่องเล็กๆน้อยๆเพื่อไปสู้เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ และเน้นตอบสนองความต้องการและความสุขที่ตนเองต้องการ
เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นกับคนช่วง Gen-Y และ Gen-Z ที่เป็นกำลังแรงงานในระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน แนวคิดนี้มีผลต่อการลดจำนวนของการแต่งงานและอัตราการเกิดของเด็กเกิดใหม่ที่ลดลง ในปีพ.ศ. 2567 ที่ผ่านมาพบว่ามีเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่า 5 แสนคน ซึ่งม.มหิดลคาดว่าในอีก 50 ปีข้างหน้า อัตราแรงงานจะเหลือเพียง 22.8 ล้านคน ซึ่งหายไปกว่าครึ่งจากในปัจจุบันที่มีจำนวนอยู่ที่ 40.4 ล้านคน
เนื่องจากว่าการมีลูก ถูกมองว่ามีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูที่สูงต้องมีการวางแผนการเงิน อีกทั้งยังมีปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ที่ไม่มีเสถียรภาพไม่เอื้อต่อการสร้างครอบครัว รวมทั้งระยะเวลาในการเลี้ยงดูนั้นใช้เวลานาน ทำให้คนกลุ่มนี้เลือกที่จะใช้เงินและใช้เวลาทุ่มเทกับตัวเองมากกว่า ซึ่งคนกลุ่มนี้มีการเข้าถึงข้อมูลและความรู้ทางการเงิน มีการวางแผนการทำประกัน และมีการลงทุนผ่าน กองทุนรวม เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นเงินสร้างความสุขในอนาคต
อีกทั้งแนวคิด YOLO นั้นยังส่งผลไปถึง การทำงาน ด้วยเช่นกันโดยการทำงานจะต้องมอบความ Balance ในการใช้ชีวิต สวัสดิการที่ดีและค่าจ้างที่เหมาะสมในการทำงาน ซึ่งถ้าหากการทำงานไม่มีความสุขแล้ว คนกลุ่มนี้จะกล้าที่จะ ลาออก แบบไม่ลังเล ถ้ามองถึงการทำงานที่มั่นคง มีรายได้สม่ำเสมอแต่การทำงานในแต่ละวันไม่มีความสุข รู้สึกหมดไฟ Burn out กับการทำงาน
คนเหล่านี้อาจเลือกที่ลาออกมาเป็นเจ้าของธุรกิจ ขายของออนไลน์ หรือแม้แต่เลือกที่จะออกมาจากงานประจำโดยที่ไม่ได้มีงานใหม่รองรับ ที่ผ่านมาเรามีหลายช่วงเวลาที่เป็นบททดสอบอยู่หลายครั้งอย่างเศรษฐกิจที่ถดถอย วิกฤตทางการเงิน หรือแม้แต่ช่วงการมีโรคระบาดที่กินระยะเวลานาน ดังนั้นคนเหล่านี้จึงจะไม่มองว่าบททดสอบที่รออยู่ข้างหน้า ยากเกินไปนัก ที่จะก้าวข้าม
แต่ในอีกแง่หนึ่งบางความสุขก็ควรระมัดระวัง เพราะ มีบางความสุขที่มาพร้อมกับ กับดัก ที่ถูกทำให้รู้สึกว่า “ต้องมี” ถึงจะสุข ซึ่งอาจส่งผลต่อปัญหาทางการเงินตามมา ที่ยังฉุดรั้งเศรษฐกิจภาคใหญ่อยู่ในตอนนี้ ซึ่งสะท้อนจากสิ่งเหล่านี้
1. การออมเงินต่ำ จากตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดเผยถึงบัญชีเงินฝากของปราชากรไทยที่มีความน่าจับตามอง โดยพบว่าบัญชีที่มีเงินฝากไม่เกิน 50,000 บาท มีอยู่ถึง 116,401,442 บัญชี คิดเป็น 89% จากจำนวนบัญชีเงินฝากทั้งหมด ที่สะท้อนถึงสถานการณ์การสภาพคล่องทางการเงินของคนไทยที่มีอยู่ค่อนข้างต่ำ หากมีวิกฤตทางเศรษฐกิจหรือการเงินเกิดขึ้นจะมีประชากรเป็นกลุ่มใหญ่ที่รัฐบาลต้องเข้ามาช่วยเหลือคนจำนวนมากในเศรษฐกิจ ที่นำมาสู่ปัญหาข้อถัดไป
2. หนี้ภาคครัวเรือนสูง โดยเงินที่มีการให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 90% ซึ่งสูงมาตั้งแต่ช่วงสถานการณ์โรคระบาด Covid-19 ที่พุ่งสูงมากที่สุดถึง 94% ของ GDP สะท้อนให้เห็นถึงสภาพคล่องและเงินสำรองที่ต่ำของคนไทยและฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว โดยทุกช่วงวัยก่อหนี้เพื่อเสริมสภาพคล่องมากขึ้นตั้งแต่ในช่วง COVID-19 แต่กลุ่มอายุน้อยกว่า 30 ปี เป็นหนี้เสียสูงที่สุดและมีความสามารถในการชำระต่ำที่สุด
โดยพฤติกรรมการก่อหนี้ จะเน้นเพื่อเสริมสภาพคล่องสะท้อนด้วยการ “ก่อหนี้ส่วนบุคคลและหนี้บัตรเครดิต” ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ง่ายและไม่ต้องใช้หลักประกัน ข้อมูลจาก NCB ชี้ว่าคนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมการก่อหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคมากขึ้น ซึ่งพบว่า Gen-Y (กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523-2539) ส่วนใหญ่ใช้จ่ายไปกับทัศนคติว่า “กินใช้แก้เคลียด” “ของมันต้องมี” ซึ่งร้อยละ 50 ที่มีเงินไม่เพียงพอเลือกที่จะ “กู้ยืม”
ซึ่งมาพร้อมกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงทำให้มีแนวโน้มของการสะสมของหนี้มากขึ้น จนกระทั่ง ติดกับดักหนี้ และมีแนวโน้มที่จะก่อหนี้หลายก้อนและหลายรูปแบบ ซึ่งแม้การก่อหนี้เหล่านี้จะเป็นการก่อหนี้เพื่อการอุปโภคและบริโภคเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู้ระบบเศรษฐกิจแต่จะขยายตัวในระยะสั้นแต่นำมาสู่การหดตัวของการบริโภคในระยะยาว
แนวคิดแบบ YOLO หากสามารถบริหารจัดการวางแผน การใช้จ่าย การออมและการใช้ชีวิต ให้เหมาะสม ก็สามารถเต็มที่ได้ทั้งด้านการใช้ชีวิตและความสุขที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว โดยไม่ติดกับดักของหนี้ที่จะนำมาซึ่งความทุกข์ในวันข้างหน้า
คอลัมน์ ผู้นำวิสัยทัศน์ หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,080 วันที่ 20 - 22 มีนาคม พ.ศ. 2568