ประเทศไทยติดอยู่ในอันดับที่ 5 ของโลกที่มีความมั่นคงด้านสุขภาพมากที่สุดจากการประเมินโดย มหาวิทยาลัย จอนส์ ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา ปี 2564 ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งมาจากกลไกของอาสาสมัครชุมชนประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ซึ่งทำหน้าที่ปิดทองหลังพระมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 4 ทศวรรษโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาระหนักหน่วงช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมา
ปัจจุบันภายใต้การนำของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สนับสนุนส่งเสริมบทบาทการทำงานของ อสม. จากการ "ตั้งรับ" มาทำงาน "เชิงรุก" อย่างเข้มข้น ควบคู่ไปกับการสร้างขวัญกำลังใจให้กับ อสม.ทั่วประเทศกว่า 1.09 ล้านคน
ล่าสุด คือ การเร่งผลักดันให้มีร่าง พ.ร.บ.อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน พ.ศ... หรือ ร่าง พ.ร.บ.อสม.ฯ เพื่อเป็นเครื่องมือที่จะสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับเหล่านักรบสุขภาพเหล่านี้
"ฐานเศรษฐกิจ" มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "ดร.นายแพทย์ภานุวัฒน์ ปานเกตุ" อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการดูแลอสม.กว่า 1.09 ล้านชีวิต หาก ร่าง พ.ร.บ.อสม.ฯ ได้ประกาศบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรม
ดร.นพ.ภานุวัฒน์ เล่าถึงความเป็นมาและความสำคัญของ ร่าง พ.ร.บ.อสม.ฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาให้ความเห็นของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ประเทศไทยมี อสม.มากว่า 40 ปีแล้วตามแนวทางการมีประกาศสาธารณสุขขั้นมูลฐานระดับโลก
หากมองในแง่ของกฎหมายที่มาดูแลควบคุมการทำงานของ อสม. หรือเพื่อใช้ส่งเสริมคุณภาพสวัสดิการให้กับ อสม.นั้น ที่ผ่านมาใช้ระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง อสม. ตั้งแต่ปี 2554 ออกตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินซึ่งศักดิ์ยังไม่สูงเทียบเท่ากับ พ.ร.บ.
ทั้งนี้ จากนโยบายของท่านรัฐมนตรีที่อยากยกระดับให้มีกฎหมายเป็น พ.ร.บ.ขึ้น เช่น ข้าราชการที่มีระเบียบข้าราชการพลเรือน เป็นต้น ฉะนั้น ถ้ามีพ.ร.บ.แล้วเชื่อว่า ระดับของกฎหมายที่สูงขึ้นจะส่งผลดีกับอสม.ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพัฒนาศักยภาพของ อสม. การส่งเสริมสวัสดิการ รวมถึงค่าป่วยการต่าง ๆ จะมีมั่นคงมากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญในร่าง พ.ร.บ.อสม.ฉบับใหม่นี้เสนอให้มีกองทุนหมุนเวียนภายใต้ พ.ร.บ.นี้ โดยมีวัตถุประสงค์หลักสำคัญ คือ เงินจากกองทุนนี้จะไปใช้ดูแลอสม.ที่ทำงานมานานและอายุมากขึ้น 70-80 ปีที่ทำงานไม่ไหวแล้ว จากที่ทำงานมีค่าป่วยการเดือนละ 2,000 บาท แต่ถ้าไม่ทำ เงินส่วนนี้จะหายไป เมื่อรวมกับเงินส่วนอื่น ๆ ที่ได้อยู่ เช่น เงินผู้สูงอายุและอื่น ๆ ก็ไม่มากพอ
ในขณะที่ อสม. มีภาระค่าใช้จ่ายอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้ อสม.รวมกลุ่มกันตั้งเป็น สมาคมฌาปนกิจ อสม. ซึ่งเป็นที่ถูกใจของ อสม.จำนวนมาก เมื่อเสียชีวิตทายาทจะได้รับเป็นเงินสด 5 แสนบาทแต่เมื่อมี อสม.รายอื่นเสียชีวิตก็ต้องจ่ายด้วย โดยเงินส่วนนี้ถูกหักอยู่ที่เดือนละประมาณ 300-400 บาท
ดังนั้น หากรายได้ตรงนี้หายไปก็จะกลายเป็นภาระในอนาคตได้ ทางกระทรวงฯจึงเห็นว่า ถ้าเราสามารถที่จะมีกองทุนฯเข้ามาช่วยเหลือ เช่น ประกันสังคมที่มีกองทุน กสจ.สำหรับพนักงาน หรือ ข้าราชการที่มี กองทุน กบข. เป็นต้น แต่อันนี้เป็น กองทุน อสม.
แต่เนื่องจากเป็นร่าง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับการเงินที่จะมีกองทุนหมุนเวียน ทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) จึงให้ส่งไปที่ กระทรวงการคลัง ให้คณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนพิจารณาให้ความเห็นก่อน
จากที่เสนอไปตั้งแต่สิงหาคม 2567 จนถึงสัปดาห์ที่ผ่านมาทางกระทรวงการคลังโดยคณะกรรมการกองทุนหมุนเวียน ได้มีมติออกมาแล้วเห็นว่า ถ้าให้มี "กองทุนหมุนเวียน" จะค่อนข้างยุ่งยากและอาจจะไม่เข้าหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ทางกระทรวงการคลังจึงได้แนะนำว่า แทนที่จะมี "กองทุนหมุนเวียน" ให้ทำในลักษณะเป็น "บัญชีเงินนอกงบประมาณ" แทนเพื่อใช้รองรับ
จากนี้ต่อไปกระบวนการ คือ กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลาง คณะกรรมการกองทุนหมุนเวียน ให้ความเห็นเสร็จแล้วเรื่องก็กลับไปที่ สลค. และเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ต่อไป โดยเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ท่านรัฐมนตรีได้เซ็นลงนามผ่านร่าง พ.ร.บ.อสม.ฉบับแก้ไขส่งสำนักเลขาธิการ ครม.เพื่อขอบรรจุเป็นวาระแล้วเพราะอยากให้เร็วที่สุด ซึ่งหลังจาก ครม.มีมติเห็นชอบแล้วก็ต้องไปผ่านคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วเข้าสภาซึ่งก็ต้องรีบให้ทันก่อนที่จะปิดสมัยประชุมนี้ในวันที่ 10 เมษายน 2568
สำหรับเรื่องนี้โชคดีที่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นหนึ่งในร่าง พ.ร.บ.ที่เป็นนโยบายรัฐบาลคงต้องมีกระบวนการเร่งรัดให้เร็วขึ้น ถ้าทันสมัยประชุมนี้ ผ่านสภาฯแล้ว คาดว่าภายในปีนี้ก็จะสามารถประกาศให้มีผลบังคับใช้ได้แต่ถ้ามีกรณีเรื่องของการพิจารณาขั้นของสภาฯที่ล่าช้าไปก็ต้องรอหลังสมัยประชุมแต่เชื่อว่า น่าจะได้เร็ว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน อสม.สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
C1 : อสม.ที่ทำงานในปัจจุบันได้รับค่าป่วยการเดือนละ 2,000 บาท มีจำนวน 1.09 ล้านคน
C2 : อสม.ที่ได้รับการอบรมมาไว้สำหรับหมุนเวียน ไว้ทดแทนเสริมคนเก่า อาทิ กรณีเสียชีวิตโดยปฏิบัติงานจริงแต่ยังไม่ได้รับค่าป่วยการ ปัจจุบันมีหลักหมื่นคนกระจายอยู่ทุกจังหวัด
C3 : อสม.ที่ไม่สามารถปฏิบัติงานได้แล้วแต่มีความเป็น อสม.ตลอดชีวิต เช่น สูงวัย เป็นต้น ซึ่ง อสม.กลุ่มนี้จะไม่ได้รับค่าป่วยการแต่จะได้รับในลักษณะของสวัสดิการ เช่น สมาชิกฌาปนกิจอสม. ค่ารักษาพยาบาลห้องพิเศษ เป็นต้น
สิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับ อสม. ก็คือ ตัวกองทุน ขณะที่ส่วนอื่น ๆ นั้นก็ล้อกับระเบียบกระทรวงสาธารณสุขเดิมโดยทางกรม สบส.ได้เตรียมกฎหมายลูกไว้หมดแล้ว เมื่อกฎหมายผ่านเราก็สามารถที่จะออกกฎหมายลูกได้ทันที เช่น กระบวนการที่จะได้มาของ อสม. ที่ต้องมีเงื่อนไข คุณสมบัติ สัดส่วนต่อประชากร จากเดิมที่ระบุว่า อสม. 1 คนต้องรับผิดชอบชาวบ้านไม่น้อยกว่า 10 หลังคาเรือน แต่จากสภาพปัจจุบันนี้อาจไม่ได้อยู่จริง หรืออยู่จริงไม่กี่คน ในอนาคตอาจต้องมีการปรับสัดส่วนประชากรที่ดูแลต่อครัวเรือน เป็นต้น
รวมถึงการกระจาย อสม.ที่ยังมีความเหลื่อมล้ำอยู่ในบางจังหวัด บางที่มี อสม.เยอะเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่อาจจะใกล้เคียงกัน ขณะที่บางจังหวัด เช่นที่ภูเก็ต อสม.1 คน ดูแล 50-60 หลังคาเรือน เป็นต้น รวมไปถึงการปรับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ทั้งเรื่องของการรับ อสม. ที่จะมีการประเมินสมรรถนะความสามารถในการทำงานของ อสม.เป็นต้น
สำหรับ "บัญชีเงินนอกงบประมาณ" ดังกล่าวข้างต้นนั้น อธิบดีกรมการสนับสนุนบริการสุขภาพ ขยายความให้ฟังว่า จะมาจากหลายแหล่งด้วยกันโดยเบื้องต้นอาจจะขอเป็นทุนประเดิมจากรัฐบาล 100 ล้านบาท, เงินบริจาคทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ, เงินจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันของ อสม., การแจ้งเบาะแสเรื่องยาเสพติด และตาม พ.ร.บ.อื่นที่มีเงินรางวัล, การจ่ายสมทบของสมาชิกอสม.ตามความสมัครใจ
รวมถึงในอนาคตกรณีที่ อสม. สามารถลดจำนวนผู้ป่วยโรค NCDs (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) จากการรณรงค์ "นับคาร์บ" หรือกินอาหารแบบนับคาร์บ หรือคาร์โบไฮเดรต ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้สามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของ สปสช. เป็นต้น
จากข้อมูลปี 2567 พบว่า งบประมาณ สปสช. วงเงิน 152,738 ล้านบาท ได้ใช้ในการดูแลโรค NCDs ราว 79,537 ล้านบาท คิดเป็น 52% ของงบทั้งหมด จึงเสนอให้นำส่วนต่างมาให้ อสม.
จากการติดตามความคืบหน้าล่าสุด แหล่งที่มาของเงินในการสนับสนุนกิจการ อสม. ตามมาตรา 44 จะมาจาก 5 ช่องทาง ประกอบด้วย คือ 1.เงินและทรัพย์สินที่ได้จากการบริจาค 2.เงินสมทบจาก อสม. ที่มีสิทธิรับเงินค่าป่วยการ จำนวน 1,090,163 คน 3.เงินสมทบจากการแจ้งเบาะแสยาเสพติดหรือการแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น 4.รายได้อื่น ๆ และ 5.ดอกผล ผลประโยชน์ หรือรายได้อื่นที่เกิดจากเงินหรือทรัพย์สิน
สำหรับการนำมาใช้ในการบริหารกิจการ อสม. มี 3 กรณี คือ 1.การช่วยเหลือเยียวยา อสม.ที่ได้รับผลกระทบจากการทำงาน 2.เป็นสวัสดิการสำหรับ อสม. สูงอายุ ที่ปฏิบัติงานมาเป็นระยะเวลานานและถูกกำหนดให้เป็น อสม.ประเภทอื่น ซึ่งไม่ได้รับเงินค่าป่วยการ และ 3.การเสริมสร้างขวัญกำลังใจ ช่วยเหลือเยียวยา และสวัสดิการอื่นใดเกี่ยวกับ อสม. ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดเพิ่มเติม
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,081 วันที่ 23 - 26 มีนาคม พ.ศ. 2568