อันตรายของคนรุ่นใหม่

07 ต.ค. 2566 | 04:30 น.
832

อันตรายของคนรุ่นใหม่ คอลัมน์ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดยกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา อาจารย์ที่ผมเคารพมาเยี่ยมเยือนผมที่ออฟฟิศ ผมมีโอกาสนั่งเสวนากับท่าน ในฐานะที่ท่านสอนวิชาพยาบาล ผมจึงได้เรียนถามท่านไปว่า เหตุการณ์ที่พารากอนท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง? เพราะในความคิดของผม ผมคิดว่าเด็กคนนี้ น่าจะมีปัญหาทางจิตเภทที่ค่อนข้างจะรุนแรง แต่เป็นจิตเภทชนิดใดนั้น ผมไม่มีความสามารถพอที่จะวินิจฉัยได้ จึงอยากจะรับฟังความคิดเห็นของอาจารย์ครับ 
       
อาจารย์บอกผมว่า น่าจะเป็นอาการของโรคหลายๆ ประเภท เช่น ประสาทหลอน(Hallucinations) และอาการภาพลวงตา(Illusion) หรือถ้าภาษาชาวบ้านทั่วไป ก็คือภาพหลอนนั่นแหละครับ และอีกโรคหนึ่งคือโรคหูแว่ว (Auditory Hallucination) ซึ่งก็รวมความแล้ว ก็คืออาการของจิตเภทที่ค่อนข้างจะหนักเอาการเลยครับ 

หลังจากที่อาจารย์ท่านกลับไปแล้ว ผมก็เริ่มค้นหาจาก Google Scholar ทันทีเลย เพราะเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ซึ่งก็มีบทวิจัยเยอะมาก เฉพาะชื่อ Auditory Hallucination ตัวเดียว ก็มีบทความให้อ่านมากถึง 78,100 บทเลยทีเดียวครับ คืนนั้นผมจึงสนุกกับการอ่านบทวิจัยไปเลยครับ
        
หลังอ่านจบแล้วก็พอจะสรุปได้คร่าวๆ ว่า จิตเภทที่เกิดจากอาการหลอนนี้ จะมีอาการสำคัญๆ ด้วยกัน 3 ประเภทคือ 1.ประสาทหลอนทางการได้ยินหรือโรคหูแว่ว (Auditory Hallucination) 2.ประสาทหลอนทางการรับกลิ่น (Olfactory Hallucination)  3. ประสาทหลอนทางการรับสัมผัส (Tactile Hallucination) 

ซึ่งอาการประเภทแรก จะมีอาการเหมือนได้ยินเสียงคนมากระซิบข้างหู หรือมีเสียงนินทาตนเองอยู่ตลอดเวลา จนทำให้คิดไปเองต่างๆ นานา สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเช่นนี้ เท่าที่ผมอ่านดูแล้วค่อนข้างจะอธิบายเป็นคำพูดที่เข้าใจง่ายๆ ยากมาก เอาเป็นว่าเป็นเพราะการสั่งการของสมองผิดเพี้ยนไป จึงทำให้เกิดอาการทางสมองเท่านั้นเองครับ 
          
ส่วนอาการประเภทที่สอง ก็จะมีการได้กลิ่นอะไรโชยมา ทั้งๆ ที่ไม่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ใกล้เคียงเลย เหล่านี้มักจะเป็นการมโนไปเองนั่นแหละครับ ที่น่าสนใจมากก็น่าจะเป็นการวิจัยชิ้นหนึ่ง ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย (UPSIT) ที่มีการวิจัยในการทดสอบความสามารถในการระบุกลิ่น และความชุกของอาการประสาทหลอน 

ในการรับกลิ่นในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 183 ราย จากกลุ่มที่ได้รับการวินิจฉัย 3 กลุ่ม ที่มีทั้งผู้ป่วยโรคจิตเภทประเภทผู้ป่วยโรคซึมเศร้า 131 ราย ผู้ป่วยจิตเภทที่มีความผิดปกติในการรับประทานอาหาร 21 ราย กลุ่มควบคุมปกติ (ที่ไม่ใช่ผู้ป่วย) 77 ราย ได้รับการทดสอบโดยใช้การระบุกลิ่น ซึ่งจะถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการมีอยู่ของภาพหลอนในการรับกลิ่น และการขาดดุลในการระบุกลิ่น ซึ่งผลพบว่าเฉพาะในผู้ป่วยโรคจิตเภทเท่านั้น 

ในทางตรงกันข้าม สมาชิกในกลุ่มการวินิจฉัยทางจิตเวชทุกประเภท รายงานอาการประสาทหลอนจากการดมกลิ่น 34.6% ของผู้ป่วยโรคจิตเภท 19% ของผู้ป่วยซึมเศร้า และ 29% ของผู้ป่วยโรคอื่นๆ จะเห็นได้ว่าผู้ป่วยด้วยโรคจิตเภท จะมีอาการประสาทหลอนทางการรับกลิ่น (Olfactory Hallucination) มากกว่าผู้ป่วยชนิดอื่นๆ ของจิตเวชนั่นเองครับ 
        
ประเภทที่สามก็เช่นเดียวกัน มักจะมีอาการสะดุ้งเมื่อผิวหนังของตนเองมีการสัมผัสสิ่งต่างๆ แต่ทำให้คิดไปเองว่าเป็นสิ่งที่ตนเองมีความเกรงกลัวอยู่เป็นทุนแล้วนั่นเอง ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยประเภทนี้ มักจะเกิดจากการใช้ยาปลุกประสาท เช่น โคเคน ยาบ้า และยาเสพติด จนบ้างครั้งไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ดังที่เรามักจะได้เห็นเป็นข่าวทางหน้าสื่อต่างๆ อยู่บ่อยๆ นั่นแหละครับ
        
ส่วนเหตุการณ์ที่สร้างความตกอกตกใจกับข่าวเด็กวัยรุ่นอายุ 14 ขวบ ที่เอาปืนออกมายิงชาวบ้าน ในห้างพารากอนไปเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา เราคงไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาเหตุอะไรมากนะครับ เพราะผมก็เห็นมีผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ออกมาให้ความเห็นกันเยอะมากแล้ว แต่ผมอยากจะกล่าวถึงอันตรายของคนรุ่น Generation Alpha ที่มีสิ่งเร้าใจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเกมส์ดิจิตอล เว็บไซต์ต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต  ทำให้เกิดอาการโรคจิตเภท (Schizophrenia) ที่ทำให้เกิดอาการจิตหลอนทางการได้ยินหรือโรคหูแว่ว (Auditory Hallucination) 

ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องเสียใจกับทั้งผู้ถูกกระทำที่เป็นชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนงานชาวเมียนมา หรือนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวจีน อีกทั้งผู้เสียชีวิตอีกสองท่านและสมาชิกครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีสิ่งโกรธเคืองอะไรกันเลย ก็ต้องมาเสียชีวิตด้วยความไร้สติสัมปชัญญะของเด็กคนนั้น แน่นอนว่าผู้ก่อเหตุก็เป็นคนรุ่น Generation Alpha นี่แหละ ซึ่งเด็กๆ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เขาเติบโตมาในกับ IT,AI และเทคโนโลยีต่างๆ 

นอกจากนั้นในอนาคตเมื่อเข้าสู่สังคม เด็กเหล่านี้อาจจะต้องเผชิญกับสภาพโลกที่เปลี่ยนไปอย่างมาก เช่น การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการที่ต้องเผชิญกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ ซึ่งทำให้ทั้งผู้ปกครองและตัวเขาเอง จะต้องมีการเตรียมพร้อมทุกๆ ด้าน กลุ่มเด็กยุค Generation Alpha จำเป็นต้องรับมือกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับ AI ที่จะเข้ามามีบทบาทในอนาคต หรือการทำงานในอาชีพที่ไม่มีอยู่ในปัจจุบัน (Career Disruption) อีกทั้งต้องอยู่กับสังคมที่มีแต่ความกดดันให้ได้ มิเช่นนั้นอาจจะทำให้เด็กๆ เหล่านี้ เป็นปัญหาที่เราไม่สามารถคาดคิดได้ครับ