จีนประกาศขึ้นภาษีสินค้าการเกษตรและอาหารจากแคนาดามูลค่ากว่า 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตอบโต้มาตรการภาษีของแคนาดาที่ประกาศใช้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางการค้าที่ยืดเยื้อมายาวนานและได้รับแรงกระตุ้นจากแนวทางกีดกันการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ขณะที่แคนาดาเพิ่งเปลี่ยนผู้นำทางการเมืองครั้งสำคัญ "มาร์ก คาร์นีย์" อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษและแคนาดา ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา แทนที่ "จัสติน ทรูโด" ซึ่งดำรงตำแหน่งมายาวนานเกือบทศวรรษ ท่ามกลางความท้าทายจากสงครามการค้าและแรงกดดันที่ต้องการให้แคนาดาเป็น "รัฐที่ 51" ของสหรัฐฯ จากแนวนโยบายของทรัมป์
กระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุว่า มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม โดยจีนกำหนดอัตราภาษีนำเข้า 100% สำหรับสินค้าน้ำมันเมล็ดเรพซีด (Rapeseed Oil) กากน้ำมันเรพซีด และเมล็ดถั่วลันเตามูลค่ารวมกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่สินค้าประมงและเนื้อหมูจากแคนาดาจะถูกเก็บภาษี 25% คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์มองว่าการประกาศขึ้นภาษีของจีนครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนไปยังแคนาดาถึงผลกระทบจากการเข้าใกล้สหรัฐฯ มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ประกาศเก็บภาษี 100% และ 25% กับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เหล็ก และอะลูมิเนียมที่ผลิตในจีนเมื่อ 4 เดือนก่อน
"จังหวะเวลานี้ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือน" แดน หวัง ผู้อำนวยการของ Eurasia Group ประจำสิงคโปร์กล่าว "จีนกำลังเตือนแคนาดาถึงต้นทุนของการยืนอยู่ข้างเดียวกับสหรัฐฯ ในประเด็นทางการค้า"
นอกจากนี้ เธอยังเสริมว่าการตอบโต้ที่ล่าช้าของจีนอาจสะท้อนถึงข้อจำกัดด้านกำลังของกระทรวงพาณิชย์จีนที่ต้องรับมือกับข้อพิพาททางการค้ากับทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปพร้อมกัน
แม้ว่าจีนจะขึ้นภาษีกับสินค้าการเกษตรหลายประเภท แต่กลับเว้น คาโนลา (Canola) ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญของแคนาดา ก่อนที่จีนจะเปิดการสอบสวนกรณีการทุ่มตลาดเมื่อปีที่แล้ว นักวิเคราะห์มองว่าการละเว้นคาโนลาอาจเป็นการส่งสัญญาณว่าจีนยังคงเปิดช่องทางสำหรับการเจรจาต่อรอง
โรซา หวัง นักวิเคราะห์จาก JCI ที่ปรึกษาด้านการเกษตรกล่าวว่า "การสอบสวนคาโนลายังดำเนินอยู่ และการที่จีนยังไม่เก็บภาษีคาโนลาในครั้งนี้ อาจเป็นกลยุทธ์ในการเว้นช่องว่างสำหรับการเจรจา"
คาโนลาคิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของการส่งออกเมล็ดพืชของแคนาดาไปยังจีน โดยในปี 2023 มีมูลค่าการค้าสูงถึง 3.7 พันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นว่าจีนยังคงมีความต้องการสินค้าชนิดนี้ แม้จะมีข้อพิพาททางการค้า
จีนถือเป็นตลาดส่งออกเนื้อหมูที่สำคัญอันดับสามของแคนาดา โดยเฉพาะส่วนที่ไม่มีตลาดรองรับในที่อื่น เช่น หัวหมู ซึ่งแคนาดาไม่สามารถหาตลาดทดแทนได้ง่ายๆ หากจีนปิดกั้นการนำเข้า
แคม ดาห์ล ผู้จัดการทั่วไปของ Manitoba Pork Council ระบุว่า "สิ่งที่เราส่งออกไปจีน เช่น หัวหมู เป็นชิ้นส่วนที่ไม่มีตลาดรองรับชัดเจน เราไม่สามารถย้ายตู้คอนเทนเนอร์ที่เคยส่งไปจีนให้ไปเม็กซิโกแทนได้ง่ายๆ"
ขณะที่ คริส เดวิสัน ประธานและซีอีโอของสภาคาโนลาแห่งแคนาดากล่าวว่า "อัตราภาษีในระดับนี้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอย่างหนักแน่นอน เราคาดหวังให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือด้านการเงิน"
จีนอาจกำลังรอความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในแคนาดา เนื่องจากการเลือกตั้งระดับประเทศครั้งต่อไปต้องจัดขึ้นภายในวันที่ 20 ตุลาคมปีนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ อาจเป็นโอกาสสำหรับการปรับความสัมพันธ์ใหม่
นักวิเคราะห์ด้านเกษตรกรรมจาก Trivium China กล่าวว่า "ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมจีนถึงเลือกตอบโต้ในครั้งนี้ แต่ฉันคาดว่าเมื่อแคนาดาเปลี่ยนรัฐบาล จีนอาจใช้โอกาสนี้รีเซ็ตความสัมพันธ์เหมือนที่ทำกับออสเตรเลีย"
ย้อนกลับไปในปี 2020 จีนเคยใช้มาตรการภาษีและข้อจำกัดทางการค้าตอบโต้กับออสเตรเลีย หลังจากที่รัฐบาลออสเตรเลียเรียกร้องให้มีการสอบสวนต้นตอของ COVID-19 อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบานีส ชนะการเลือกตั้งและเข้ามาแทนที่สกอตต์ มอร์ริสันในปี 2022 จีนก็เริ่มยกเลิกข้อจำกัดเหล่านั้นทีละขั้นตอน
จีนถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่เป็นอันดับสองของแคนาดา รองจากสหรัฐฯ โดยในปี 2024 แคนาดาส่งออกสินค้ามูลค่ารวม 47 พันล้านดอลลาร์ไปยังจีน อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจทำให้แคนาดาต้องพิจารณาว่าจะตอบโต้จีน หรือใช้โอกาสนี้ในการเจรจาเพื่อลดความตึงเครียดทางการค้า
ในขณะนี้ รัฐบาลแคนาดายังไม่ได้ออกแถลงการณ์ใดๆ ตอบโต้ต่อมาตรการขึ้นภาษีของจีน การตัดสินใจของแคนาดาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ทางการค้า และอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
อ้างอิง: Reuters