การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ สู่ทำเนียบขาวในปี 2568 นำมาซึ่งความไม่แน่นอนครั้งใหญ่ในเวทีการค้าโลก ด้วยแนวคิด "อเมริกาต้องมาก่อน" ที่เน้นปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ทรัมป์จึงเดินหน้าบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรต่อประเทศคู่ค้าอีกครั้ง โดยมุ่งเป้าไปที่จีน เม็กซิโก และแคนาดาเป็นหลัก แต่ผลกระทบของนโยบายนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงสามประเทศดังกล่าว
บรรดาประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะ เวียดนาม ไต้หวัน และไทย กำลังถูกจับตามองว่าอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ เนื่องจากมีการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูง และมีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานโลก
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ไทยเป็นหนึ่งในสามประเทศในเอเชียที่มีความเสี่ยงสูงสุดจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ รองจากเวียดนามและไต้หวัน โดยพิจารณาจากสัดส่วนมูลค่าการส่งออกต่อ GDP ที่พึ่งพาสหรัฐฯ ในระดับสูง
นโยบายภาษีของทรัมป์มุ่งเป้าไปที่ เซมิคอนดักเตอร์ ยา เหล็ก และอะลูมิเนียม ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย โดยข้อมูลจาก Nomura ระบุว่า มากกว่า 25% ของการส่งออกจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน อาจได้รับผลกระทบ
มาเลเซีย เกาหลีใต้ และไทย เป็นสามประเทศในเอเชียที่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของแคนาดาและเม็กซิโกมากที่สุด ซึ่งหมายความว่าเมื่อสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากทั้งสองประเทศ ไทยก็อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
ในกรณีของมาเลเซีย 0.59% ของ GDP มาจากการค้าที่เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าส่งออกของแคนาดาและเม็กซิโกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในเอเชีย ขณะที่ไทยมีความเชื่อมโยงกับซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ของทั้งสองประเทศ
หนึ่งในเหตุผลที่ทรัมป์ใช้ในการกำหนดเป้าหมายภาษีคือ การลดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ซึ่งหมายความว่า ประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ในระดับสูงอาจถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น
ในเอเชีย จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น และไต้หวัน มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ สูงที่สุด ตามรายงานล่าสุดของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ขณะที่ไทยก็มียอดเกินดุลสูงเช่นกัน โดยในปี 2024 ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 35.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ไทยอาจถูกเพ่งเล็งในลำดับถัดไป
รัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ โดย นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้สั่งการให้มีการศึกษาเชิงลึกถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการส่งออกของไทย และวางมาตรการรับมือเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว
ด้านกระทรวงพาณิชย์ พิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ย้ำว่า ไทยจะพยายามหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ ให้มากที่สุดผ่านการเจรจาทางการค้า และไทยพร้อมปรับกลยุทธ์การค้าตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อภาคธุรกิจไทยน้อยที่สุด
ภาคธุรกิจไทยเริ่มแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มสงครามการค้าและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หอการค้าไทยได้เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินมาตรการเชิงรุก โดยเสนอให้จัดตั้ง “วอร์รูม” เพื่อติดตามสถานการณ์และวิเคราะห์ผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังเสนอว่าไทยควร นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เช่น พลังงาน ผลิตภัณฑ์เกษตร และเครื่องบิน เพื่อลดการขาดดุลทางการค้าและสร้างสมดุลให้กับความสัมพันธ์ทางการค้าไทย-สหรัฐฯ
แม้ว่านโยบายภาษีของทรัมป์จะสร้างความท้าทายให้กับไทย แต่รัฐมนตรีพาณิชย์ของไทยมองว่า ไทยอาจได้รับประโยชน์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยสินค้าของไทยสามารถเข้ามาแทนที่สินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ ได้ในบางกลุ่มสินค้า ทำให้โอกาสการส่งออกเพิ่มขึ้น
อ้างอิง: Reuters