ราคาทองพุ่ง ทรัมป์ 2.0 ดันทองคำขาขึ้น ธนาคารกลางทั่วโลกตุนทอง ที่ไหนมากสุด?

10 ก.พ. 2568 | 16:25 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ก.พ. 2568 | 16:30 น.
3.6 k

ราคาทองคำปรับขึ้นกว่า 5.3% หลังทรัมป์รับตำแหน่งปี 2568 ธนาคารกลางทั่วโลกแห่ตุนทอง โดยจีนกว้านซื้อเพิ่มกว่า 10.26 ตัน ทำไมทองถึงฮอต?

ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2568 ที่ "โดนัลด์ ทรัมป์" เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่สอง ราคาทองคำโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยราคาทองคำ ณ วันเข้ารับตำแหน่งอยู่ที่ประมาณ 2,727 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และล่าสุดเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ราคาทองได้ปรับขึ้นมาที่ประมาณ 2,870 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นกว่า 5.3% ในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์

 

ทำไมราคาทองถึงพุ่งขึ้นในยุคทรัมป์?

ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำมีทั้งแรงซื้อจากนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้นและค่าเงินดอลลาร์ รวมถึงแรงซื้อจากธนาคารกลางหลายประเทศที่เร่งสะสมทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงของทุนสำรองระหว่างประเทศ นอกจากนี้ นโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ที่ยังไม่แน่นอน และทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาทองให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

แน่นอนว่า ธนาคารกลางหลายประเทศยังคงกว้านซื้อทองคำต่อเนื่อง โดยข้อมูลล่าสุดจากปี 2567 ระบุว่า ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำเกิน 1,000 ตันเป็นปีที่สามติดต่อกัน สะท้อนถึงความต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์

ประเทศไหนสะสมทองคำมากที่สุด?

หนึ่งในประเทศที่โดดเด่นที่สุด คือ จีน โดยธนาคารกลางจีน หรือ People’s Bank of China (PBOC) ได้เพิ่มการถือครองทองคำอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในเดือนธันวาคม 2567 จีนซื้อทองคำเพิ่มอีก 0.33 ล้านออนซ์ หรือประมาณ 10.26 ตัน ทำให้ปริมาณทองคำสำรองของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 73.29 ล้านออนซ์ หรือราว 2,279.58 ตัน ซึ่งถือเป็นการซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน

การที่จีนเร่งสะสมทองคำมากขึ้นอาจสะท้อนถึงยุทธศาสตร์การลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และกระจายทุนสำรองไปยังสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ทองคำถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาความมั่นคงของค่าเงินหยวน และช่วยเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ

 

ทำไมธนาคารกลางต้องสะสมทองคำ?

ทองคำถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ ค่าเงินที่ผันผวน และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เมื่อเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มผันผวน ธนาคารกลางจึงเลือกลงทุนในทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงและเสริมเสถียรภาพของทุนสำรองระหว่างประเทศ

แนวโน้มราคาทองคำในปี 2568 จะไปทางไหน?

นักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ว่า ราคาทองคำในปี 2568 อาจยังคงได้รับแรงหนุนจากปัจจัยเดิม ไม่ว่าจะเป็นทิศทางเศรษฐกิจโลก นโยบายการเงินของสหรัฐฯ และแนวทางของทรัมป์ในการบริหารประเทศ หากเศรษฐกิจยังเผชิญกับความไม่แน่นอน ทองคำอาจยังเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและธนาคารกลางทั่วโลก

แม้ว่าข้อมูลหลักจะเน้นไปที่ตลาดทองคำโลกและธนาคารกลางขนาดใหญ่ แต่แนวโน้มราคาทองคำในตลาดโลกย่อมส่งผลต่อราคาทองในประเทศไทยเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อค่าเงินบาทมีการเปลี่ยนแปลง นักลงทุนไทยที่สนใจลงทุนในทองคำควรจับตาทิศทางค่าเงินและราคาทองคำโลกอย่างใกล้ชิด

การที่ธนาคารกลางยังคงซื้อทองคำต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าทองคำยังคงมีบทบาทสำคัญในระบบการเงินโลก ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจโลกอาจยังคงเผชิญกับความท้าทายในปีนี้

สำหรับนักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน ทองคำอาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ก็ควรศึกษาปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ค่าเงินดอลลาร์ อัตราดอกเบี้ย และแนวโน้มเศรษฐกิจโลก เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ