นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 โดยได้รับการต้อนรับจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนที่เน้นย้ำถึงความเป็น "ญาติสนิท" ระหว่างสองประเทศ การพบปะกันครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อกระชับความร่วมมือในหลากหลายด้าน ทั้งการค้า การลงทุน ความมั่นคง และการท่องเที่ยว รวมถึงการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่แน่นแฟ้นมายาวนาน การเยือนครั้งนี้ยังถือเป็นก้าวสำคัญในการเฉลิมฉลอง 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนในปี 2568 โดยทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นที่จะร่วมมือกันผลักดันการพัฒนาทางเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค ท่ามกลางบริบทของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ไทยและจีนมีความสัมพันธ์ทางการทูตที่แน่นแฟ้นมายาวนานกว่าห้าทศวรรษ ความสัมพันธ์นี้ไม่เพียงแต่หยั่งรากลึกในระดับรัฐต่อรัฐ แต่ยังขยายไปถึงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนที่ส่งผลต่ออนาคตของทั้งสองประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย ขณะที่ไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าสำคัญของจีนในอาเซียน ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญอย่างยานยนต์ไฟฟ้า (EV) พลังงานสีเขียว และเศรษฐกิจดิจิทัล
การค้าระหว่างไทยและจีนในปี 2566 มีมูลค่ารวมกว่า 126.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนถือเป็นตลาดส่งออกหลักของสินค้าเกษตรไทย คิดเป็นกว่า 40% ของการส่งออกทั้งหมด ขณะที่การนำเข้าจากจีนส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปเพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรมไทย นอกจากนี้ การลงทุนจากจีนในไทยก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีโครงการลงทุนจากจีนกว่า 588 โครงการ รวมมูลค่าเกือบ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า เศรษฐกิจดิจิทัล และพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นทิศทางหลักที่รัฐบาลไทยมุ่งเน้นเพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ไทยยังคงให้การสนับสนุนโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีนมาโดยตลอด เนื่องจากการเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานระหว่างสองประเทศถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน นอกจากนั้น ในปี 2567 รัฐบาลไทยยังได้ผลักดันแผนการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจและเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ขึ้น
ภาคการท่องเที่ยว ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาไทยเคยพุ่งสูงถึง 11 ล้านคนต่อปีในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แต่ในปี 2566 กลับอยู่ที่เพียง 3.5 ล้านคน สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่ยังล่าช้า เพื่อแก้ปัญหานี้ ไทยและจีนได้ลงนามในข้อตกลงยกเว้นวีซ่าซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาเยือนไทยมากขึ้น และกระตุ้นภาคบริการที่มีสัดส่วนกว่า 12% ของ GDP ประเทศ
ในมิติด้านการค้า การส่งออกของไทยไปจีนในปี 2566 อยู่ที่ 275 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในไตรมาสสุดท้ายมีอัตราการเติบโต 4.6% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สินค้าหลักที่ส่งออกไปจีน ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ประมวลผลอัตโนมัติ ยางพารา และผลิตภัณฑ์ไม้ อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงมีปัญหาขาดดุลการค้ากับจีน โดยในปี 2566 ขาดดุลการค้าสูงถึง 25.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2565 สาเหตุหลักมาจากการนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ และวัตถุดิบจากจีนในปริมาณสูง
ในด้านการลงทุน ไทยได้กลายเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค โดยมีบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำจากจีน เช่น BYD, Neta, MG และ Great Wall Motor เข้ามาลงทุนในประเทศ การจดทะเบียนรถยนต์ EV ในไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 1.5% ในปี 2565 เป็น 11.6% ในปี 2566 และในจำนวนนี้ 80% เป็นรถยนต์จากแบรนด์จีน รัฐบาลไทยมีเป้าหมายผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุนและโครงสร้างภาษีที่จูงใจนักลงทุนต่างชาติ
ไทยและจีนยังคงเดินหน้าความร่วมมือทางเศรษฐกิจผ่านข้อตกลงระหว่างประเทศต่างๆ โดยข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยลดภาษีศุลกากรและอุปสรรคทางการค้า ทำให้ไทยสามารถเข้าถึงตลาดจีนได้ง่ายขึ้น และในทางกลับกันก็เอื้อให้สินค้าจีนสามารถขยายตลาดในไทยได้มากขึ้น นอกจากนี้ ไทยและจีนยังมีข้อตกลง Mini-FTA กับมณฑลไห่หนานซึ่งช่วยกระตุ้นการค้าระหว่างกันโดยเฉพาะสินค้าเกษตร
ในช่วงปี 2567 ไทยกำลังพิจารณามาตรการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% สำหรับสินค้าจีนที่มีราคาต่ำกว่า 40 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งผ่านเขตปลอดภาษีของไทย เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่ต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีน นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างสมดุลทางการค้าและปกป้องธุรกิจในประเทศจากการแข่งขันที่รุนแรง
ในมิติด้านความมั่นคง ไทยและจีนได้เพิ่มความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะการปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์และการพนันออนไลน์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งต่อไทยและจีน รัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการเข้มงวดผ่านศูนย์รับแจ้งเหตุอาชญากรรมทางไซเบอร์ และได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหน่วยงานจีนในการติดตามและดำเนินคดีกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ
แม้ว่าไทยจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับจีน แต่รัฐบาลยังคงต้องดำเนินยุทธศาสตร์ที่ระมัดระวังเพื่อรักษาสมดุลระหว่างสองมหาอำนาจ ได้แก่ จีนและสหรัฐฯ ซึ่งต่างก็เป็นคู่ค้าและนักลงทุนหลักของไทย ความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจและการเมืองของไทยกับจีนมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีสีเขียว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการค้าเสรี อย่างไรก็ตาม ไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารดุลการค้าและความมั่นคงทางเศรษฐกิจท่ามกลางการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ของสองขั้วอำนาจหลักของโลก
ในระยะยาว ความสัมพันธ์ไทย-จีนจะยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทย การเจรจาข้อตกลงใหม่ๆ และการปรับตัวเข้ากับสภาพเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความได้เปรียบทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศในอนาคต
อ้างอิง: China Daily, Reuters, China Briefing