โค้งสุดท้ายศึกเลือกตั้งสหรัฐ 2024 ทรัมป์ vs แฮร์ริส สะเทือนเศรษฐกิจเอเชีย

04 พ.ย. 2567 | 13:20 น.
อัปเดตล่าสุด :04 พ.ย. 2567 | 13:25 น.
620

เส้นทางสู่ทำเนียบขาวในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2024 ระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” และ “กมลา แฮร์ริส” อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า และเสถียรภาพทางการเมืองของเอเชีย

การเลือกตั้งสหรัฐ 2024 เป็นวันสำคัญที่ทั่วโลกทั้งโลกจับตา โดยมี "โดนัลด์ ทรัมป์" อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน และ "กมลา แฮร์ริส" รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันจากพรรคเดโมแครต ลงชิงตำแหน่ง การแข่งขันครั้งนี้มีนัยสำคัญไม่เพียงเฉพาะในมิติของการเมืองสหรัฐฯ แต่ยังส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อการค้าและเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย ซึ่งรวมถึงประเทศไทยที่พึ่งพิงการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในหลายภาคอุตสาหกรรม

 

แนวนโยบายการค้าต่างประเทศและผลกระทบต่ออาเซียน

ทรัมป์มีแนวทางนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ที่เน้นการส่งเสริมการผลิตภายในประเทศและลดการพึ่งพาการค้าเสรี ซึ่งหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง มีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐฯ จะนำฐานการผลิตกลับประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาส่วนแบ่งการตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสิ่งทอที่เป็นสินค้าหลักของภูมิภาคนี้

ในทางตรงกันข้าม แฮร์ริสสนับสนุนการเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างประเทศและการส่งเสริมการลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว หากแฮร์ริสได้รับตำแหน่ง อาจมีการฟื้นฟูข้อตกลงทางการค้าบางส่วน และสร้างโอกาสให้ประเทศในอาเซียนร่วมมือกับสหรัฐฯ ในด้านการลงทุนพลังงานสะอาดและการค้าพหุภาคีมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของหลายประเทศในเอเชีย

ผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองในภูมิภาค

หาก โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งสหรัฐ 2024 แนวทางที่เข้มงวดต่อจีนอาจส่งผลให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหลายประเทศ รวมถึงไทย ต้องสร้างสมดุลระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างรอบคอบ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเผชิญกับภาวะวิกฤตทางการเมือง และอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียนในภาพรวม

ด้าน กมลา แฮร์ริส มีท่าทีที่เปิดกว้างต่อการสร้างพันธมิตรในภูมิภาคเอเชียและส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่างๆ เนื่องจากมีนโยบายสนับสนุนการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและเสถียรภาพทางการเมืองในภูมิภาคนี้ผ่านการส่งเสริมความร่วมมือที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีสะอาด

 

ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรม

เอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทยและประเทศในอาเซียน เป็นฐานการผลิตสำคัญสำหรับการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสิ่งทอไปยังสหรัฐฯ หากทรัมป์กลับมาใช้นโยบายการพึ่งพาตนเอง มีความเป็นไปได้ที่ประเทศในภูมิภาคจะเผชิญกับข้อจำกัดทางการค้าและความท้าทายในการรักษาห่วงโซ่อุปทาน

ในขณะที่แฮร์ริสมีท่าทีจะสนับสนุนการขยายห่วงโซ่อุปทานระดับโลกให้ครอบคลุมภูมิภาคเอเชียมากขึ้น จากนโยบายสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวที่เอื้อให้ภูมิภาคนี้มีโอกาสร่วมพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืน รวมถึงการเพิ่มบทบาทของบริษัทในอาเซียนในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาดมากยิ่งขึ้น

ความมั่นคงทางพลังงานและการลงทุนในพลังงานสะอาด

นโยบายด้านพลังงานของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจส่งผลกระทบต่อประเทศในภูมิภาคที่เริ่มมีการลงทุนในพลังงานสะอาด โดยเฉพาะประเทศไทยที่ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอน หากทรัมป์กลับมา การสนับสนุนจากสหรัฐฯ ในด้านพลังงานสะอาดอาจน้อยลงและเพิ่มความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคนี้

ในทางกลับกัน กมลา แฮร์ริส ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด นโยบายของเธอจะสร้างโอกาสให้ภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทย ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินและเทคโนโลยีในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและการลดคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม

 

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางของเศรษฐกิจและการเมืองโลก โดยผลการเลือกตั้งจะกำหนดทิศทางนโยบายของสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นแนวนโยบายการค้าต่างประเทศ การพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน การลงทุนในพลังงานสะอาด และการสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชีย ประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น

 

อ้างอิง: