การเลือกตั้งสหรัฐ 2024 ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 6 พ.ย.67 ตามเวลาประเทศไทย กำลังเป็นที่จับตามองจากทั่วโลก เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลก แต่สิ่งที่ทำให้การเลือกตั้งของสหรัฐฯ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็คือ ระบบการเลือกตั้งที่แตกต่างจากหลายประเทศ ระบบนี้คือการใช้ทั้ง Popular Vote (คะแนนเสียงประชาชน) และ Electoral College (คณะผู้เลือกตั้ง) ในการตัดสินผู้ชนะ
Popular Vote หรือ คะแนนเสียงประชาชน คือการลงคะแนนของประชาชนทั่วไปที่ออกเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในทุก ๆ สี่ปี ระบบนี้เป็นตัวแทนความคิดเห็นของประชาชนว่าต้องการให้ใครเป็นผู้นำประเทศ ผู้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งในสหรัฐฯ จะลงคะแนนเสียงโดยตรงให้กับผู้สมัครที่ตนสนับสนุน โดยผลการนับคะแนนจากทุกคนทั่วประเทศจะถูกรวมเป็นคะแนนเสียง Popular Vote
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ระบบนี้แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ก็คือ Popular Vote ไม่ได้เป็นตัวตัดสินผู้ชนะการเลือกตั้ง ถึงแม้ว่าผู้สมัครบางคนจะได้รับคะแนนเสียงประชาชนมากกว่าคู่แข่ง แต่ก็อาจไม่ใช่ผู้ที่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี นี่เป็นเพราะระบบการเลือกตั้งที่ใช้ Electoral Colleg
Electoral College คือกลไกที่แท้จริงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โดยแต่ละรัฐในสหรัฐฯ จะมีผู้แทนในคณะผู้เลือกตั้งตามสัดส่วนประชากร รัฐที่มีประชากรมากก็จะมีผู้แทนมาก และรัฐที่มีประชากรน้อยก็จะมีผู้แทนน้อย โดยรวมแล้วมีผู้แทนทั้งหมด 538 คน และผู้สมัครที่ได้รับคะแนนจาก Electoral College เกิน 270 คะแนน จะได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี
ระบบนี้ยังคงใช้งานมาตั้งแต่การก่อตั้งประเทศ และช่วยรักษาความสมดุลระหว่างรัฐต่าง ๆ โดยรัฐส่วนใหญ่ใช้ระบบ "ผู้ชนะได้หมด" หมายความว่าผู้สมัครที่ได้คะแนน Popular Vote มากที่สุดในรัฐจะได้รับคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งทั้งหมดของรัฐนั้น
ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง Popular Vote และ Electoral College คือ ผู้ที่ชนะ Popular Vote ไม่จำเป็นต้องชนะการเลือกตั้ง ตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งปี 2016 ฮิลลารี คลินตัน ได้รับคะแนน Popular Vote มากกว่าโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ทรัมป์ได้รับคะแนน Electoral College มากกว่า ทำให้ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี สาเหตุนี้เกิดจากความสำคัญของคะแนนเสียงจากผู้แทนของแต่ละรัฐมากกว่าการนับคะแนนเสียงทั่วประเทศเพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างการทำงานของระบบนี้ ระบบ Electoral College ทำให้รัฐมีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยรัฐที่เรียกว่า "Swing States" หรือรัฐที่ผลการเลือกตั้งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น ฟลอริดา และ เพนซิลเวเนีย มักเป็นตัวชี้ขาดผลการเลือกตั้ง เนื่องจากรัฐเหล่านี้ไม่มีการแน่นอนว่าผู้สมัครจากพรรคใดจะชนะ
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือในการเลือกตั้งปี 2000 เมื่ออัล กอร์ได้คะแนน Popular Vote มากกว่า จอร์จ ดับเบิลยู. บุช แต่บุชชนะเพราะได้รับคะแนนจาก Electoral College มากกว่า ซึ่งเป็นผลมาจากการชนะในรัฐสำคัญๆ
ระบบ Electoral College ถูกออกแบบขึ้นเพื่อรักษาสมดุลระหว่างรัฐขนาดใหญ่และรัฐขนาดเล็ก หากใช้เฉพาะ Popular Vote รัฐที่มีประชากรมากเช่นแคลิฟอร์เนียและ นิวยอร์กจะมีอิทธิพลสูงมาก และทำให้รัฐขนาดเล็กไม่สามารถมีส่วนร่วมที่สำคัญในผลการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ยังคงเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมากในสหรัฐฯ ว่าควรยกเลิกหรือปรับปรุงให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2567 ที่กำลังจะมาถึง ระบบ Electoral College ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินผลของการเลือกตั้ง ผู้ที่ต้องการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงไม่เพียงแค่ต้องชนะใจประชาชนเท่านั้น แต่ยังต้องชนะในรัฐที่สำคัญทางการเมืองอีกด้วย
การเลือกตั้งของสหรัฐฯ เป็นระบบที่มีความซับซ้อนและแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ เนื่องจากการใช้ทั้ง Popular Vote และ Electoral College การทำความเข้าใจระบบนี้เป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปลายปีนี้