การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 กำลังจะเปิดฉากขึ้น ท่ามกลางความสนใจอย่างมากจากทั่วโลก เนื่องจากสหรัฐฯ ยังคงรักษาสถานะมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกทั้งในด้านการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจ ผลการเลือกตั้งครั้งนี้จึงมีนัยสำคัญต่อทิศทางของโลกในอีก 4 ปีข้างหน้า
การตัดสินใจของพลเมืองชาวอเมริกันจะส่งผลกระทบต่อนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในหลากหลายมิติ
ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติตามที่รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยต้องเป็นพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี และมีถิ่นที่อยู่ในสหรัฐฯ อย่างน้อย 14 ปี คุณสมบัติเหล่านี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งสูงสุดของประเทศมีความผูกพันและเข้าใจสังคมอเมริกันอย่างลึกซึ้ง
ขั้นตอนที่ 1 การเลือกตั้งขั้นต้นและการประชุมคอคัส
เส้นทางสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีเริ่มต้นด้วยการเลือกตั้งขั้นต้นและการประชุมคอคัส ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน ในช่วงนี้ ผู้สมัครจากแต่ละพรรคจะเดินสายหาเสียงทั่วประเทศเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกพรรคของตน กระบวนการนี้มีทั้งการประชุมคอคัสที่มีการอภิปรายและลงคะแนนหลายรอบ และการเลือกตั้งขั้นต้นที่สมาชิกพรรคลงคะแนนโดยตรง เป้าหมายคือการคัดเลือกตัวแทนพรรคสำหรับการเลือกตั้งทั่วไป
ขั้นตอนที่ 2 การประชุมใหญ่พรรคการเมือง
หลังจากนั้น แต่ละพรรคจะจัดการประชุมใหญ่พรรคการเมือง เพื่อเลือกตัวแทนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ในระหว่างการประชุมนี้ ตัวแทนผู้สมัครจะเลือกคู่หูชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี จากนั้นผู้สมัครจากพรรคต่างๆ จะลงพื้นที่เรียกคะแนนเสียงจากประชาชนทั่วประเทศ
ขั้นตอนที่ 3 การเลือกตั้งทั่วไป
วันเลือกตั้งทั่วไปจะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ซึ่งประชาชนทุกรัฐทั่วประเทศจะลงคะแนนเสียง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ประชาชนไม่ได้เลือกประธานาธิบดีโดยตรง แต่เป็นการเลือก "คณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี" หรือที่เรียกว่า "Electoral College"
ขั้นตอนที่ 4 คณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี
ในระบบ Electoral College นี้ แต่ละรัฐจะมีจำนวนผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีเท่ากับจำนวนตัวแทนของรัฐในสภาคองเกรส ผู้สมัครที่ชนะการเลือกตั้งจะต้องได้คะแนนเสียงอย่างน้อย 270 เสียงจากทั้งหมด 538 เสียง ระบบนี้ทำให้การชนะคะแนนนิยมจากประชาชนทั่วประเทศ หรือ "Popular Vote" อาจไม่ได้หมายถึงชัยชนะในการเลือกตั้งเสมอไป
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแนวคิดที่สำคัญเรียกว่า "Swing States" หรือรัฐที่ไม่มีฐานเสียงแน่นอนของพรรคใดพรรคหนึ่ง รัฐเหล่านี้ เช่น Arizona, Georgia, Pennsylvania, Michigan, Nevada และ Wisconsin มักเป็นตัวชี้ขาดผลการเลือกตั้ง เนื่องจากคะแนนเสียงในรัฐเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ ผู้สมัครจึงมักทุ่มเทการหาเสียงในรัฐเหล่านี้เป็นพิเศษ การติดตามผลคะแนนใน Swing States จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการคาดการณ์ผลการเลือกตั้ง
นอกจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว ในปีนี้ยังมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทั้งหมด 435 ที่นั่ง และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 1 ใน 3 ของทั้งหมด 100 ที่นั่งด้วย
ผลการเลือกตั้งเหล่านี้จะมีผลต่อการกำหนดนโยบายและการบริหารประเทศในอนาคต เนื่องจากจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบของรัฐสภาและอำนาจในการออกกฎหมาย
ผลการเลือกตั้งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งนโยบายภายในและต่างประเทศของสหรัฐฯ ในด้านนโยบายภายใน อาจมีการเปลี่ยนแปลงในประเด็นสำคัญ เช่น เศรษฐกิจ สาธารณสุข การศึกษา พลังงานและสิ่งแวดล้อม ส่วนนโยบายต่างประเทศ อาจมีการปรับเปลี่ยนท่าทีต่อประเทศมหาอำนาจอื่นๆ เช่น จีนและรัสเซีย รวมถึงความสัมพันธ์กับพันธมิตร
สำหรับเอเชียและไทย การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้า ความร่วมมือทางทหาร และการลงทุนของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบโดยตรง ดังนั้น การติดตามผลการเลือกตั้งและนโยบายของผู้นำคนใหม่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการวางแผนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคต
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2567 ไม่เพียงแต่จะกำหนดอนาคตของประเทศมหาอำนาจเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทย การติดตามและทำความเข้าใจกระบวนการเลือกตั้งที่ซับซ้อนนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร สิ่งที่แน่นอนคือ การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งบทในประวัติศาสตร์การเมืองโลกที่น่าจับตามอง