"Red Lobster" ร้านซีฟู้ดรายใหญ่สหรัฐ ยื่นล้มละลายแล้ว! พิษจากบุฟเฟต์กินไม่อั้น

21 พ.ค. 2567 | 07:39 น.
อัปเดตล่าสุด :21 พ.ค. 2567 | 07:43 น.

ร้านอาหารซีฟู้ดดังของสหรัฐอเมริกา "Red Lobster" ยื่นล้มละลายแล้ว หลังขาดสภาพคล่องหนักมีเงินสดไม่ถึง 30 ล้านดอลลาร์ แบกหนี้กว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ปิดตำนาน "บุฟเฟต์สุดคุ้มจนร้านขาดทุน"

"เรด ล็อบสเตอร์" (Red Lobster) เครือข่ายร้านอาหารทะเลรายใหญ่ของสหรัฐ และรายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขอฟื้นฟูกิจการและขอพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 11 ของกฎหมายล้มละลายสหรัฐเมื่อวันที่ 20 พ.ค.67 

ทั้งนี้ ในคำร้องต่อศาลสหรัฐ เรด ล็อบสเตอร์เปิดเผยว่า บริษัทมีสินทรัพย์และหนี้สินเท่ากันระหว่าง 1 พันล้านดอลลาร์ถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่มีเงินสดไม่ถึง 30 ล้านดอลลาร์

ที่ผ่านมา เรด ล็อบสเตอร์ ประสบปัญหาทางการเงินมานานหลายปี โดยบริษัทได้พยายามหาวิธีปรับโครงสร้างหนี้สิน และหลีกเลี่ยงการล้มละลาย แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถต้านทานแรงกดดันทางการเงินได้อีกต่อไป เนื่องจากบริษัทเผชิญกับภาวะการขาดทุนที่เพิ่มขึ้น 

ประกอบกับ “บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ” ซึ่งเข้าควบคุมกิจการในปี 2563 ได้เปิดเผยแผนการการถอดหุ้นออกจากร้านอาหารดังกล่าวไปเมื่อต้นปี 2567 โดยระบุว่า “ข้อบังคับด้านการเงินของทั้งสองบริษัทฯ ไม่สอดคล้องกับลำดับการจัดสรรเงินทุนของบริษัทไทยยูเนี่ยน”

เรด ล็อบสเตอร์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2511 ปัจจุบันมีสาขามากกว่า 700 สาขาในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก 

ถึงแม้เรด ล็อบสเตอร์ สามารถผ่านวิกฤตโควิด-19 แต่ปริมาณลูกค้าก็ได้ลดลงถึง 30% นับตั้งแต่ปี 2562
 

ต่อมา บริษัทประกาศขาดทุนสุทธิ 76 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการออกโปรโมชั่น "กินกุ้งได้ไม่อั้น" และเมื่อปีที่แล้ว เรด ล็อบสเตอร์เปลี่ยนความถี่ในการให้โปรโมชั่นดังกล่าวจากสัปดาห์ละครั้งเป็นทุกวัน โดยหวังว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง แต่กลายเป็นว่ากลับดึงดูดให้ลูกค้าแห่เข้าร้านมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อผลประกอบการบริษัท

คำร้องต่อศาลระบุว่า บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากโปรโมชั่นดังกล่าว เนื่องจากช่วยเพิ่มยอดขายกุ้งของบริษัท ในขณะที่ทำให้ค่าใช้จ่ายของเรด ล็อบสเตอร์เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ การที่บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ประกาศถอนการลงทุนจากเรด ล็อบสเตอร์ ก็ได้ส่งผลให้เรด ล็อบสเตอร์ขาดทุนจำนวน 530 ล้านดอลลาร์