ไทยยืนหนึ่งในอาเซียนด้านโครงการ Digital Transformation  

นายทาเคทานิ อัทสึชิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร สำนักงานกรุงเทพฯ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เมื่อเร็ว ๆนี้ เจโทรได้ประกาศรายชี่อบริษัทที่ได้รับการอนุมัติเข้าร่วม โครงการ "Asia Digital Transformation หรือ ADX ที่มีเป้าหมายสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นให้ดำเนินโครงการนำร่องและร่วมทำงานกับบริษัทหรือสถาบันของประเทศในอาเซียน เพื่อมีส่วนร่วมแก้ไขประเด็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมในภูมิภาคอาเซียนโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล  ทั้งนี้ เจโทรพร้อมให้การสนับสนุนในหลาย ๆ ด้านรวมทั้งความช่วยเหลือทางการเงิน

สำหรับประเทศไทย เจโทรเริ่มดำเนินโครงการนำร่อง 7 โครงการ นับเป็นประเทศที่ได้รับการอนุมัติโครงการมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียนจากทั้งหมด 23 โครงการ ซึ่งโครงการทั้ง 7 โครงการในประเทศไทยนั้น ครอบคลุมสาขาที่มีความหลากหลาย อาทิ โครงการด้านการเกษตร การประมง การแพทย์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และ พลังงาน

 “เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างมาก ที่ได้เห็นประเทศไทยเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของอาเซียนที่ได้รับความสนับสนุนภายใต้โครงการ digital transformation เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยมีศักยภาพและระดับทางเศรษฐกิจที่บริษัทเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศญี่ปุ่น สนใจจะเข้ามาร่วมพัฒนาธุรกิจอย่างมีนัยยะสำคัญ ที่ผ่านมา เจโทร กรุงเทพฯให้การสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด และเจโทรจะยังคงดำเนินกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือบริษัทญี่ปุ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศไทยให้มากยิ่งขึ้นต่อไป” ประธานเจโทรกล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เจโทรเร่งจัดกิจกรรมกระตุ้นธุรกิจ มั่นใจ“ทั้งเศรษฐกิจและการเมืองไทย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง" 

"เจโทร" รับปาก ปักหลักลงทุน-ขยายธุรกิจในไทยระยะยาว

เตรียม "คลายล็อก" นักธุรกิจญี่ปุ่น ลุ้นเข้าไทยวันละ 100 คน

ทั้งนี้ บริษัทที่เข้าร่วมโครงการ ADX ได้นั้น ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขการเข้าร่วม ดังนี้คือ

・ระบุประเด็นปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และการมีส่วนร่วมนำเสนอโซลูชั่น(แนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล)

・เป็นโครงการที่มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อมีส่วนร่วมส่งเสริมการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4

・มีความร่วมมือกับบริษัทหรือองค์กรในประเทศอาเซียนเพื่อร่วมดำเนินโครงการ

・สามารถเริ่มโครงการหรือดำเนินโครงการได้โดยเร็วในประเทศเป้าหมายในภูมิภาคอาเซียน (ภายใน 2 ปีหลังสิ้นสุดโครงการนำร่อง) และโครงการต้องได้รับการประเมินว่าสามารถดำเนินการได้ต่อเนื่อง