net-zero

พลังงานยัน กกร. ร่าง PDP ใหม่ สอดรับแผน NDC ปล่อยคาร์บอน 61.8 ล้านตัน

    จากที่ภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี แจ้งความเห็นต่อร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP2024) ที่อยู่ระหว่างการจัดทำ

พร้อมกับมีข้อเสนอแนะด้านพลังงานในประเด็นต่าง ๆ โดยนายกรัฐมนตรีได้ส่งให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้พิจารณา และล่าสุดได้ส่งคำชี้แจงลงนามโดยนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ​​ ปลัดกระทรวงพลังงาน กลับมายัง กกร.แล้ว

ทั้งนี้ ในข้อเสนอของ กกร.ที่เห็นว่าในแผนพีดีพีดังกล่าว ควรจะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จากเดิมที่กำหนดไว้ในสัดส่วน 51% ของกำลังผลิตทั้งหมด ในปี 2580 เป็น 68% ภายในปี 2583 และ 74% ภายในปี 2593 เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกตํ่าของประเทศ (LT-LEDs)

กระทรวงพลังงานได้ชี้แจงว่า ร่างแผนพีดีพีที่อยู่ระหว่างการจัดทำนั้น ได้กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นไปตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมของประเทศไทย ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (NDC) ที่จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับ 30-40 % ในปี 2573 เพื่อให้ประเทศไทยสามารถมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี 2608

พลังงานยัน กกร. ร่าง PDP ใหม่ สอดรับแผน NDC ปล่อยคาร์บอน 61.8 ล้านตัน

อย่างไรก็ตาม หากจะให้มีการปล่อย CO2 ลงที่ 40% ในปี 2573 ประเทศจะต้องได้รับการสนับสนุนทางการเงินและการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และอาจต้องลดการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าฟอสซิลที่เป็นโรงไฟฟ้าฐาน ที่มีต้นทุนตํ่าในปัจจุบันเพิ่ม และอาจไม่มีความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายตามสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าขั้นตํ่าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Take or Pay) และเป็นการใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่อย่างไม่มีประสิทธิภาพ

อีกทั้ง การกำหนดการปล่อย CO2 ตาม LT-LEDs จะกำหนดเป้าหมายการปล่อย CO2  เป็นล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งไม่ได้กำหนดเป้าหมายเป็นสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน อีกทั้ง เป้าหมายการปล่อย CO2 จะพิจารณาพลังงานสะอาดจากทุกประเภทเชื้อเพลิง ไม่ใช่เฉพาะพลังงานหมุนเวียนเพียงเท่านั้น ดังนั้นการจัดสรรโรงไฟฟ้าตามร่างแผนพีดีพี ได้กำหนดเป้าหมายการปล่อย CO2 ให้เป็นได้ตามเป้าหมาย LT-LEDs ที่ประเทศกำหนดแล้ว

ขณะที่การเพิ่มสัดส่วนการผลิตจากไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ซึ่งมีต้นทุนที่ตํ่า เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายของประเทศสู่ Net Zero และช่วยลดความเสี่ยงจากค่าไฟฟ้าที่สูงและผันผวน อันเกิดจากการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้าที่นำเข้าจากต่างประเทศในระดับสูงและด้วยต้นทุนที่สูงนั้น เห็นว่าในร่างแผนพีดีพีได้ให้ความสำคัญ ทั้งในด้านความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ต้นทุนค่าไฟฟ้ามีความเหมาะสมและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด และลดการพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาสูง และมีความผันผวน

จากร่างแผนพีดีพี ฉบับรับฟังความคิดเห็น ปี 2580 สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ จะลดจากปัจจุบันที่ 60% เหลือประมาณ 41% และสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 22% เป็น 51% โดยมีเป้าหมายการเพิ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ในช่วงปี 2567-2580 ในปริมาณถึง 34,851 เมกะวัตต์ เป็นพลังงานแสงอาทิตย์ประมาณ 24,412 เมกะวัตต์ และพลังงานลมประมาณ 5,345 เมกะวัตต์ ถือเป็นสัดส่วนที่สูง

ส่งผลให้จะต้องมีการนำระบบกักเก็บพลังงานมาช่วยบริหารจัดการความผันผวนจากการผลิตไฟฟ้าดังกล่าวถึง 12,957 เมกะวัตต์ (45,786 เมกะวัตต์ชั่วโมง) ประกอบด้วย พลังนํ้าสูบกลับ 2,472 เมกะวัตต์ (19,776 เมกะวัตต์ชั่วโมง) และระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน 10,485 เมกะวัตต์ (26,010 เมกะวัตต์ชั่วโมง)

ทั้งนี้ ร่างแผนพีดีพี ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไว้ เพื่อใช้ในการบริหารความมั่นคงระบบไฟฟ้า และรักษาระดับค่าไฟฟ้าไม่ให้สูงเกินไป เนื่องจากระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานยังคงมีต้นทุนสูง หากต้องมีการนำมาใช้ในปริมาณที่สูงเกินไป เพื่อรองรับความผันผวนของพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม จะส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า

ส่วนควรร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกขน เพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้ และพิจารณาการจัดหาพลังงานทางเลือกใหม่ ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมนั้น ในร่างแผนพีดีพี ได้พิจารณาถึงพลังงานทางเลือกใหม่ ๆในระดับที่เหมาะสม ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้ามากเกินไป

โดยกำหนดใช้ก๊าซไฮโดรเจนผสม ก๊าซธรรมชาติในสัดส่วน 5% ตั้งแต่ปี 2573 กำหนดให้มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบโมดูลขนาดเล็กประเภท (Small Modular Reactor : SMR) /Micro Modular Reactor (MMR) ขนาด 600 เมกะวัตต์ ในปี 2580 กำหนดเป้าหมายการตอบสนองด้านโหลด (Demand Response) 1,000 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ปี 2569-2580 และมาตรการลดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak Reduction) 1,000 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ปี 2574-2580

ขณะที่การเปิดเสรีภาคไฟฟ้า โดยในระยะเร่งด่วน ให้เปิดให้ใช้ระบบโครงการข่ายไฟฟ้าแก่บุคคลที่สาม (TPA) และกำหนดแนวทางการเปิดเสรีไฟฟ้าที่เป็นรูปธรรม และมีกรอบเวลาที่ชัดเจนไว้ในร่างแผนพีดีพี  กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการโครงการนำร่องการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบซื้อขายไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement : Direct PPA) การทำสัญญา Direct PPA ผ่านการขอใช้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (TPA) (โครงการนำร่องๆ) เป็นแนวทางรูปแบบหนึ่งที่อาจพัฒนาเป็นตลาดไฟฟ้าเสรีในอนาคต

ทั้งนี้ โครงการนำร่อง ดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป โดยมีการกำหนดปริมาณกรอบเป้าหมายไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์ และได้ถูกบรรจุลงในร่างแผนพีดีพี ส่วนการเปิดให้ใช้ TPA ซึ่งปัจจุบันคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อยู่ระหว่างจัดทำอัตราค่าบริการ TPA ที่ครอบคลุมค่าบริการต่างๆ

นอกจากนี้ ให้มีการพิจารณาความเหมาะสม และความจำเป็นในการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ เปรียบเทียบกับระบบ Repowering หรือ Overhaul โรงไฟฟ้าเดิมแทนการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ที่มีสัญญาผูกพัน 20-25 ปี และควรทบทวนการพยากรณ์ความต้องการพลังงานไฟฟ้าของประเทศให้อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไป กระทรวงพลังงาน จะรับไว้พิจารณาประกอบการจัดทำร่างแผนพีดีพีต่อไป