net-zero

รื้อแผนพีดีพีใหม่ ดันโรงไฟฟ้า IPP กฟผ.เข้าระบบ ชูพลังงานแสงอาทิตย์เต็มสูบ

    ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ไทย หรือพีดีพีฉบับใหม่ ยังเป็นที่เฝ้าจับตาของวงการอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าว่าจะแล้วเสร็จและประกาศใช้บังคับได้เมื่อใด หลังจากมีความล่าช้ามากว่า 2 ปี

ทั้งนี้แม้แผนฯ จะผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนมาเป็นระยะแล้วก็ตาม แต่ยังไม่สามารถนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อนุมัติให้ความเห็นชอบได้

 แหล่งข่าวจากระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า แผนพีดีพีดังกล่าวขณะนี้อยู่ระหว่างทบทวนแผนขึ้นมาใหม่ โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น เพื่อสนับสนุนประเทศให้บรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2608 โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่จะเพิ่มขึ้นและเข้าระบบเร็วขึ้นจากเดิมที่ร่างไว้ 24,412 เมกะวัตต์ อาจจะเพิ่มขึ้นอีกราว 10,000 เมกะวัตต์ เป็น 34,000 เมกะวัตต์ และจากให้เข้าระบบหลังปี 2573 ก็อาจจะให้เลื่อนขึ้นมาก่อนปี 2573 ราว 10,000 เมกะวัตต์ จากร่างเดิมมีเพียง 800 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลือให้ทยอยเข้าระบบปี 2574 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ จะมีการบรรจุโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 1,400 เมกะวัตต์ ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ดำเนินการโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เข้าไว้ในแผนด้วย จากร่างเดิมไม่มีการบรรจุไว้ เพื่อรักษาความมั่นคงระบบไฟฟ้าภาคใต้จำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าใหม่ และทดแทนกำลังผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ 1 และโรงไฟฟ้ากระบี่ รวมกำลังผลิต 1,025 เมกะวัตต์ ที่ปลดออกจากระบบในปี 2577

รื้อแผนพีดีพีใหม่ ดันโรงไฟฟ้า IPP กฟผ.เข้าระบบ ชูพลังงานแสงอาทิตย์เต็มสูบ

อีกทั้ง เพื่อตอบโจทย์ Net Zero ลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยจะลดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงถ่านหินลงเหลือ 7 % ในปี 2580 จากปัจจุบันมีสัดส่วนใช้ผลิตไฟฟ้า 19 % จะไม่มีการต่ออายุโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือไม่มีการบรรจุโรงไฟฟ้าถ่านหินอยู่ในแผน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เครื่องที่ 4 กำลังผลิต 140 เมกะวัตต์ และเครื่องที่ 8-11 รวมกำลังผลิต 1,080 เมกะวัตต์ ที่ยื่ดอายุมาและจะปลดเครื่องออกในปี 2568 รวมถึงโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ขนาดกำลังผลิต 1,434 เมกะวัตต์ ที่จะหมดอายุลงในปี 2575 อีกด้วย

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า จะมีการปรับแผนให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ขนาดกำลังผลิตโรงละ300 เมกะวัตต์ จำนวน 2 แห่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ เข้าระบบเร็วขึ้นหรือจ่ายไฟฟ้าได้ราวกลางแผน จากที่กำหนดจะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2580 ดำเนินการโดยกฟผ.นั้น ยืนยันว่ายังคงเป็นไปตามแผนเดิมที่วางไว้ เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างความเข้าใจ ยอมรับจากทุกฝ่าย และการปรับปรุงข้อกฎหมายที่จะมารองรับ ให้เป็นมาตรฐานสากล

“โรงไฟฟ้า SMR ถือว่ามีความจำเป็น หากประเทศจะบรรลุ Net Zero เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ อีกทั้ง ยังเป็นโรงไฟฟ้าพื้นฐานที่ช่วยรักษาเสถียรภาพความมั่นคงไฟฟ้าให้กับประเทศ หรือเป็น Backup ให้กับพลังงานหมุนเวียนที่ไม่มีความเสถียรในการผลิตไฟฟ้า การดำเนินงานนำร่องจึงต้องให้ กฟผ.เป็นผู้ริเริ่มก่อน และหลังจากนั้นถึงจะเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมหรือเปิดให้มีการประมูลผลิตไฟฟ้า SMR หลังปี 2580 ไปแล้ว

ส่วนแผนพีดีพีใหม่ จะแล้วเสร็จหรือประกาศใช้เมื่อใดนั้น ยังไม่สามารถ แต่คาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 นี้ ซึ่งขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย ภายใต้ราคาค่าไฟฟ้าที่เหมาะสม

แหล่งข่าวจากวงการผู้ผลิตไฟฟ้า กล่าวว่า แผนพีดีพีฉบับใหม่ มุ่งตอบโจทย์ Net Zero เป็นหลัก จึงมีการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนค่อนข้างมาก และค่อย ๆ ปลดโรงไฟฟ้าถ่านหินออกจากระบบ และลดการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าลงมา โดยมีไฮโดรเจนเข้าไปเป็นส่วนผสม ขณะที่โรงไฟฟ้า SMR จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคต จากการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ และสามารถรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าหรือเป็น Backup ให้กับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ไม่มีความเสถียนได้

ดังนั้น จากร่างแผนพีดีพีที่มีการบรรจุโรงไฟฟ้า SMR เข้าไปอยู่ในแผนไว้ ส่งผลให้ผู้ผลิตไฟฟ้าชั้นนำของประเทศ ได้หันมาเตรียมความพร้อมในการศึกษาเรื่องนี้กันทั่วหน้า ไม่ว่าจะเป็น กฟผ. บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือGPSC เนื่องจากเป็นทิศทางของพลังงานโลกที่กำลังเดินไป และยังเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจตอบโจทย์ Net Zero ขององค์กรและประเทศได้