บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ได้วางเป้าหมายที่จะก้าวสู่องค์กรความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero GHG Emissions) ในปี พ.ศ. 2603 ร่วมกับกลุ่ม ปตท. และสอดรับกับนโยบายของประเทศในการบรรลุ Net Zero โดย GPSC ตั้งเป้าแผนระยะสั้นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 36 % ภายในปี 2573
การขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าว จะดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์หลัก 4S ได้แก่
S1 Strengthen and Expand the Core มุ่งเน้นสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจการผลิตและส่งจ่ายสาธารณูปการให้เป็นเลิศ (Best-in-Class Strategy) ในระดับสากลภายในปี 2568
S2 Scale-up Green Energy มุ่งเน้นการขยายธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Renewable Hybrid System) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในไทยจะมีการลงทุนเพื่อตอบโจทย์แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) และการลงทุนในรูปแบบ Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) ผ่านการเปิดใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access : TPA) ในอนาคต เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการพลังงานสะอาด
ในขณะที่การพัฒนาธุรกิจในต่างประเทศ บริษัทฯจะเน้นการลงทุนในประเทศเป้าหมาย ซึ่งมีการขยายตัวของความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดสูงและมีนโยบายสนับสนุนที่ดีจากภาครัฐได้แก่ อินเดีย จีน และไต้หวัน เป็นต้น
S3 New S-curve มุ่งเน้นการพัฒนาด้วยการลงทุนด้านนวัตกรรม New S-curves ในหลายรูปแบบ รองรับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจพลังงานและธุรกิจไฟฟ้าในอนาคต โดยให้ความสำคัญกับการศึกษาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เพื่อลดระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การต่อยอดจากการใช้พลังงานหมุนเวียน การใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS) ไฮโดรเจน (Hydrogen) และโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในรูปแบบ Small Modular Reactor (SMR)
S4 Shift to Customer-centric Solutions มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจในรูปแบบการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ และการบริหารจัดการพลังงาน ภายใต้นวัตกรรมพลังงานเพื่อธุรกิจ
นางสาวสุกิตตี ไชยรักษ์ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการขยายการลงทุนของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 12,582 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 4,524 เมกะวัตต์ และพลังงานหมุนเวียน 8,058 เมกะวัตต์ ที่มาจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมเป็นหลัก หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 64 % ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายที่บริษัทกำหนดไว้ในการมีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 50% ภายในปี 2573
ทั้งนี้ มองว่าสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการเข้าถือหุ้น 42.93% ในบริษัท อวาด้า เอนเนอร์ยี่ ไพรเวท ลิมิเต็ท (AEPL) ในกลุ่มอวาด้า (Avaada Group) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ที่ปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอินเดีย Avaada
Energy Private Limited (AEPL) กำลังการผลิตรวม 17,346 เมกะวัตต์ ดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 36 โครงการ กำลังผลิต 4,564 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 7 โครงการ กำลังผลิต 2,069 เมกะวัตต์ มีกำหนด COD ระหว่างปี 2567-2569 และอยู่ระหว่างการพัฒนา 22 โครงการ กำลังการผลิต 10,713 เมกะวัตต์ มีกำหนด COD ปี 2568-2571 โดยทาง AEPL วางแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นไปอยู่ที่ 30,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนขึ้นตามมาด้วย
“บริษัทมีเป้าหมายเดิมที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าไปถึงระดับ 15,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2569 และคาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 40,000 ล้านบาท ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งในระยะต่อไปอาจจะต้องทบทวนเป้าหมายการลงทุนและกำลังผลิตใหม่”
นางสาวสุกิตตี กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการตอบโจทย์ในการบรรลุ Net Zero ของบริษัทมากขึ้น และเห็นโอกาสการขยายงานจากร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย หรือพีดีพีฉบับใหม่ ที่อยู่ระหว่างการจัดทำ คาดว่าจะประกาศนำมาใช้ได้ราวต้นปี 2568 ซึ่งมีการบรรจุให้มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor) หรือ SMR จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในช่วงปลายแผนหรือราวปี 2579-2580
บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้า SMR ซึ่งเป็นทางเลือกที่สำคัญในการผลิตพลังงานสะอาดเพิ่มเติมจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย ซึ่งจะเข้ามาตอบโจทย์การผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบันอยู่ระหว่างเร่งศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาเทคโนโลยีโรงไฟฟ้า SMR ร่วมกับบริษัท Seaborg Technologies ApS ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งมีความคืบหน้าไปบางแล้วในด้านเทคโนโลยี เพราะมีโครงการนำร่องที่เดนมาร์กอยู่แล้ว
ขณะที่ข้อกฎระเบียบต่าง ๆ ยังต้องศึกษาต่อไป ทั้งหมดจะใช้เวลาศึกษาประมาณ 4 ปี (2567-2570) เพื่อตัดสินใจเข้าลงทุนต่อไป ซึ่งเทคโนโลยีที่นำมาใช้จะเป็นลักษณะการตั้งโรงไฟฟ้า SMR อยู่บนเรือ หรือเป็นแบบลอยนํ้า มีความปลอดภัยสูง การเข้าร่วมประมูล GPSC มีความพร้อม เพราะมีจุดแข็งทางด้านท่าเรืออยู่แล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง