KEY
POINTS
วันที่ 6 มีนาคม 2568 คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ที่มี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธาน ได้ร่วมประชุมพิจารณาคำร้องขอให้ตรวจสอบกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) พ.ศ. 2567
กคพ.รับคดีฟอกเงินฮั้วเลือก สว.
ภายหลังการประชุม นายภูมิธรรม ได้แถลงว่า หลังพิจารณาและรับฟังความเห็นทุกฝ่ายแล้ว ที่ประชุม กคพ. มีมติเห็นชอบให้รับเป็นคดีพิเศษกรณีความผิดอาญาฐานฟอกเงิน จำนวน 11 เสียง และไม่เห็นด้วย 4 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง
“การกระทำความผิดที่มีผู้มาร้องทุกข์มีลักษณะการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ที่มีลักษณะเป็นคดีพิเศษตามกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับการได้มาซึ่ง สว. ในการใช้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจว่าให้เลือกหรือไม่เลือกเป็นความผิดฐานฟอกเงินด้วย”
นายภูมิธรรม ย้ำว่า ไม่ใช่การแทรกแซงกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่เป็นการประสานความร่วมมือกัน เพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รับเรื่องร้องเรียนมา จะนิ่งเฉยมิได้
สำหรับคณะกรรมการมาประชุม 19 คน แต่ นายเพชร ชินบุตร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ได้เดินทางออกจากที่ประชุมก่อนจะมีการลงมติ เนื่องจากมีภารกิจ ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีกรรมการเหลือเพียง 18 เสียง ซึ่งการพิจารณาใช้ระเบียบ การรับเป็นคดีพิเศษ โดยยึดตามเสียงข้างมากในที่ประชุม
ส่วนหลังจากนี้หากมีความผิดอาญาเกี่ยวเนื่องการเลือก สว. 2567 ที่มีลักษณะความผิดหรือเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.แนบท้ายคดีพิเศษนั้น อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ สามารถมีความเห็นรับไว้เป็นคดีพิเศษได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้มติจากบอร์ด กคพ.แต่อย่างใด
พบเส้นเงินโยงพรรคการเมือง
ทั้งนี้มีรายงานว่า กรณีที่บอร์ด กคพ.ลงมติรับเรื่องความผิดอาญาฐานฟอกเงินไว้เป็นคดีพิเศษ เนื่องจากปรากฏหลักฐานเส้นเงินโยงไปถึงบางพรรคการเมืองด้วย
โดยจากรายงานการสืบสวนของดีเอสไอ และการสอบปากคำพยาน ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีการใช้เงินเกี่ยวกับขบวนการเลือก สว.มากเกิน 300 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือก สว.ระดับอำเภอ และต่อเนื่องไปจนถึงหลังจบการเลือก สว.ระดับประเทศ ทั้งยังหมายรวมถึงการเตรียมทรัพย์สินไว้สำหรับใช้กระทำความผิด ทั้งการใช้หรือผลตอบแทนที่ได้รับกลับมาด้วย
ส่วนสาเหตุที่บอร์ด กคพ. มีมติ 11 เสียง ให้รับคดีความผิดอาญาฐานฟอกเงินเพียงฐานความเดียวนั้น เนื่องด้วยกรรมการได้มีการยกข้อหารือเมื่อการประชุมบอร์ด กคพ.วันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่าในลักษณะของคดีความผิดอาญาฐานฟอกเงิน ถือเป็นความผิดตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ให้เป็นคดีพิเศษได้ด้วยอำนาจอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือเสียงเกินกึ่งหนึ่งของกรรมการที่มี
โดยเฉพาะถ้าเป็นการชี้ขาดว่าให้เป็นความผิดฐานฟอกเงินทางอาญา แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เพราะเข้าเงื่อนไขกรณีที่มีทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นความผิดตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 อยู่แล้วนั้น จะเป็นคดีพิเศษได้โดยไม่ต้องอาศัยมติบอร์ด
ส่วนหากมีการสอบสวนขยายผลแล้ว พบฐานอาญาความผิดอื่น อาทิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 (ฐานอั้งยี่) และความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 (3) นั้น ทางอธิบดีดีเอสไอ สามารถรับเพิ่มไว้ดำเนินการได้ เนื่องจากจะเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกัน โดยไม่มีความจำเป็นต้องนำเข้าที่ประชุมของบอร์ด กคพ. อีกแล้ว แต่คณะพนักงานสอบสวนจะต้องไปดำเนินการสืบสวนสอบสวนให้ชัดเจน
ขณะที่ฐานความผิดมาตรา 77 (1) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 จะเป็นอำนาจดำเนินการของ กกต. เพื่อไม่ให้เป็นการทับซ้อนหรือขัดข้อกฎหมายระหว่าง 2 หน่วยงาน
จ่อตั้งทีมสอบสวนลุยคดี
โดยกระบวนการหลังจากรับเป็นคดีพิเศษแล้ว จะมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อทำการสอบสวนและออกหมายเรียกพยาน รวมไปถึงการสืบเส้นทางการเงิน โดยเฉพาะในส่วนของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินหรือรับผลตอบแทนตัวเงิน
รวมถึงการพิจารณารายการทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ซึ่งหากพบที่มาของทรัพย์สินดังกล่าวว่า เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินทางอาญาในคดีมูลฐาน เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะทำการออกคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบชั่วคราว
ส่วนการสอบสวนคดีพิเศษหลังจากนี้ ทาง พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเป็นผู้แต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่น เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป
องค์ประชุม กคพ.
สำหรับองค์ประชุม กคพ. มีทั้งสิ้น 18 ราย จากทั้งหมด 22 ราย ซึ่งบุคคลที่ขาดประชุม ประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. แม้มอบหมายให้ พล.ต.ท.อภิชาติ สุริบุญญา ผบช.สำนักงานกฎหมายและคดี เป็นผู้แทน แต่ไม่ได้มาเข้าร่วม
ขณะที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ขาดประชุม 3 ราย ได้แก่ พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอบสวนคดีอาญา, พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และนายเพ็ชร ชินบุตร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเข้าเซ็นชื่อแต่ไม่อยู่ลงมติ เพราะติดประชุม
สำหรับกรรมการที่มีมติไม่เห็นชอบ 4 ราย ประกอบด้วย 1.นายนพดล เภรีฤกษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา) 2.นายจิรานุวัฒน์ ธัญญะเจริญ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกฎหมาย (ผู้แทนผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) 3.นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง (ผู้แทนปลัดกระทรวงมหาดไทย) และ 4.พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการปราบปรามผู้มีอิทธิพล
ส่วนมติงดออกเสียง 3 ราย ประกอบด้วย 1.นายณรงค์ งามสมมิตร ที่ปรึกษากฎหมาย (ผู้แทนปลัดกระทรวงพาณิชย์) 2.นางเยาวลักษณ์ นนทแก้ว อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ (ผู้แทนอัยการสูงสุด) และ 3.นายอรรถพล อรรถวรเดช ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง (ผู้แทนปลัดกระทรวงการคลัง)
สอบคำร้องเลือก สว.ต้องใช้เวลา
นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวถึงคำร้องอันเกิดจากการเลือก สว. ว่า คำร้อง สว.มีทั้งหมด 500 กว่าเรื่อง เป็นคำร้องที่เกี่ยวกับมาตรา 77 ( 1 ) ประมาณ 200 กว่าเรื่อง ทำเสร็จไปแล้วประมาณ 100 กว่าเรื่อง แต่ที่อยู่ระหว่างเข้มข้นมีประมาณ 150 เรื่อง การสืบสวนไต่สวนต้องใช้เวลา เพราะเป็นกระบวนการเกี่ยวข้องทั้งระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ
ฉะนั้นคนที่เกี่ยวข้อง และเป็นกระบวนการซึ่งเป็นระบบยุติธรรม จะต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ถูกร้อง ให้เขามีโอกาสทราบ รับรู้ชี้แจง แก้ข้อกล่าวหา
“จนคนลืมไปแล้ว ว่า เอ๊ะ กกต.ทำอยู่หรือเปล่าที่เขาร้องๆ กัน ซึ่งก็ยังทำอยู่ แล้วเรื่องมาถึงคณะอนุฯของเราก็เยอะ แต่ดีเอสไอ เท่าที่จำได้ มีคำร้อง 3 เรื่อง ที่เขาจะรับหรือไม่รับ แต่ของเราที่ตรวจสอบล่าสุดมี 122 เรื่อง ที่มีความเข้มข้นหมายถึงว่าผ่านคณะสืบสวนไต่สวนมาแล้ว”
นายอิทธิพร กล่าวด้วยว่า คำร้องนี้ยื่นเมื่อ 18 ก.ค. 67 หลังวันเลือกระดับประเทศ วันที่ 26 มิ.ย.67 ถึงวันนี้เป็นวันที่ 6 มี.ค. 68 เหลืออีก 3 เดือนกว่าๆ ถึงจะครบปี ซึ่งครบปีเป็นกำหนดเวลาที่เรากำหนดไว้เองว่าจะทำให้เสร็จภายใน 1 ปี ถ้าไม่เสร็จก็ขยายได้
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4077 หน้า 12 ระหว่างวันที่ 9-17 มีนาคม 2568