“ภูมิธรรม“แจงมติบอร์ด กคพ.รับ“ฟอกเงิน”เป็นคดีพิเศษ ปมฮั้ว สว.

06 มี.ค. 2568 | 14:01 น.
อัปเดตล่าสุด :06 มี.ค. 2568 | 14:09 น.

“ภูมิธรรม”เผยบอร์ด กคพ. มีมติ 11 เสียง รับสอบฐาน “ฟอกเงิน” ปมฮั้ว สว. เป็นคดีพิเศษ “ทวี”ปัดโยงการเมือง ส่วนเข้าข่ายอั้งยี่ซ่องโจรหรือไม่ขอดูรายละเอียดเพิ่มเติม

วันนี้ (6 มี.ค. 68 ) ที่กระทรวงยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (บอร์ด กคพ.) กล่าวภายหลังประชุมพิจารณาคดีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นคดีพิเศษ หรือไม่ ว่า ที่ประชุมมีการถกเถียงกันในหลายความเห็นโดยพิจารณาตามหลักการของกฎหมายอย่างครบถ้วน
คณะกรรมการได้พูดคุยกันและได้ข้อสรุปดังนี้ คือ บอร์ด กคพ.ได้พิจารณาข้อเท็จจริงกรณีที่มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์กล่าวหาทางดีเอสไอ มีการกระทำความผิดเข้าข่ายผิดกฎหมายตามคดีพิเศษหรือไม่ ที่ประชุม กคพ.ไม่ได้มีการประชุมในวาระการได้มาซึ่งสว.แต่อย่างใด 

ที่ประชุมเห็นว่า การกระทำความผิดที่มีผู้มาร้องทุกข์มีลักษณะการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ที่มีลักษณะเป็นคดีพิเศษตามกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับการได้มาซึ่ง สว. ในการใช้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจว่าให้เลือกหรือไม่เลือกเป็นความผิดฐานฟอกเงินด้วย 

นายภูมิธรรม กล่าวว่า บอร์ด กคพ. ขอย้ำว่า การพิจารณาเป็นคดีพิเศษในครั้งนี้ ผ่านความเห็นชอบของผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากหลากหลายที่ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจแทนคนใดคนหนึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความโปร่งใส ตรวจสอบได้ตามกฏหมายทั้งหมด

“บอร์ด กคพ.ขอย้ำว่าการพิจารณาในวันนี้ไม่ใช่การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ กกต. กกต.ก็ทำงานของตนเองในการดูแลการจัดการการเลือกตั้ง เราก็มีหน้าที่ดูแลการดำเนินคดีอาญากับกลุ่มบุคคลที่กระทำความผิดตามกฏหมาย ในคดีพิเศษเท่านั้น ดังนั้น เป็นการประสานงานการทำงานร่วมมือกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายของตนเองที่แตกต่างกันมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ประชาชน เราจะละเลยไม่ได้ เพราะจะเข้าข่ายความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และส่งผลเสียต่อประชาชน”

รวมถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับเรื่องนี้ ไม่ได้หมายความว่า ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำความผิดทางกฎหมายแล้ว แต่ต้องมีกระบวนการทางกฎหมายอีกมากมาย ในการที่จะบอกว่าเป็นจริง ดังนั้น ก็เปลี่ยนไปตามกระบวนการทางกฎหมายทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกกล่าวหาด้วย 

นายภูมิธรรม สรุปว่า ในที่ประชุมองค์ประชุมทั้งหมด 18 คน มีมติชี้ขาด กรณีการสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคล หรือ คณะบุคคลที่กระทำผิดเป็นอั้งยี่ ที่เกี่ยวกับการได้มาซึ่งวุฒิสมาชิก พ.ศ.2567 ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอมา ตามมาตรา 21 วรรค 1 แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ส่วนคดีคดีอาญาใดที่เกี่ยวข้องกับคดีพิเศษดังกล่าว ตามมาตรา 21 วรรค 2 ทำการสอบสวนต่อไป 

ทั้งนี้ หากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พบการกระทำความผิดตาม พ.ร.ป.การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 47 วรรค 1 ให้แจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทราบตามอำนาจหน้าที่ โดยไม่ต้องมีมติดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ 

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมี 18 เสียง มีมติรับเป็นคดีพิเศษ 11 เสียง และไม่รับ 4 งดออกเสียง 3 เสียง 

ส่วนมีความหนักใจหรือไม่ เมื่อถูกนำไปโยงกับประเด็นทางการเมือง นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนเองคิดว่าคณะกรรมการทุกท่านมีความหนักใจ เพราะเป็นประด็นเกี่ยวกับสถาบันนิติบัญญัติ และสาธารณะชนกำลังจับตามอง จึงได้กำชับว่าการพิจารณาให้ใช้ดุลยพินิจอย่างละเอียดรอบคอบ โดยอิงข้อมูลจากกฎหมายและข้อมูลต่าง ๆ และตัดสินให้ดีที่สุด 

“การพิจารณาในครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบุคคล หรือเรื่องการเมือง เราพิจารณาตามข้อกฎหมาย เพราะหลายคนกังวลใจว่าหากพิจารณาแล้วจะมีผลกับตัวเอง เชื่อว่าเราทำสิ่งที่รอบคอบแล้ว คุยกันทุกฝ่ายแล้ว ซึ่งเราตัดสินใจแล้วก็ต้องรับผิดชอบ และเป็นกระบวนการที่รับมา เพื่อตรวจสอบและท้ายที่สุดก็จะไปจบที่ศาล ซึ่งเป็นผู้ชี้ขาด”

ขณะที่กังวลหรือไม่ที่มีรายชื่อพยานในคดีนี้ กว่า 1,200 คนหลุดออกไป นายภูมิธรรม ระบุว่า หลุดไปก็เป็นเรื่องหลุด ไม่ใช่เรื่องข้อเท็จจริง เมื่อไม่ใช่เรื่องข้อเท็จจริง เมื่อหลุดแล้วก็ให้หลุดไป และไม่กังวลกับผลโหวตในครั้งนี้ เพราะเมื่อโหวตไปแล้วก็ให้ที่ประชุมรับรอง 

ทั้งนี้ หลังจากนี้จะตัองร่วมมือกับ กกต.ในการพิจารณาเรื่องนี้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า อย่าไปคิดว่าเราแตกแยก เรายังทำงานร่วมกันได้ คดีนี้ต่างฝ่ายต่างดำเนินการ อะไรที่เกี่ยวพันกันก็ประสานงานกัน 

ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงขั้นตอน หลังจากนี้ว่า การประชุมในวันนี้ได้รับเป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ มาตรา 21 วรรค 1 ซึ่งตามปกติแล้ว อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)  สามารถชี้ขาดได้เลย แต่เนื่องจากมีข้อมูลบางประการที่มีข้อสงสัย ที่ต้องให้คณะกรรมการคดีพิเศษ ใช้เสียงกึ่งหนึ่งของผู้เข้าประชุม ซึ่งเสียงของคณะกรรมการส่วนใหญ่ได้ชี้ขาดแล้วว่าเป็นคดีพิเศษ ซึ่งไม่ต้องใช้ตามมาตรา 21 วรรค 2 

โดยขั้นตอนต่อจากนี้ไป จะเป็นเหมือนหลักค้ำประกันให้กับอธิบดีดีเอสไอ คือ การรับเรื่องเป็นคดีพิเศษ และขอให้พนักงานอัยการมาร่วมสอบสวนด้วย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความยุติธรรม รวมถึงให้การปฏิบัติงานมีความโปร่งใส ส่วนขั้นตอนต่อไป เป็นเรื่องที่ดีเอสไอ จะจัดตั้งพนักงานสอบสวน เพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวน
เมื่อถามว่าคดีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ กกต. ในชั้นสอบสวน หากมีการเรียกกกต.มา จำเป็นจะต้องเข้ามาให้ข้อมูลหรือไม่

พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ในส่วนที่เป็นของ กกต. ที่ผ่านมากกต.ก็ได้มีการประสานงาน กับ ดีเอสไอ ได้มีการทำหนังสือมา ซึ่งหนังสือฉบับนั้นยังไม่ได้มีการยกเลิก และในการทำงาน เนื่องจากกฎหมายมีการทับซ้อนกัน ก็อาจประสานงานกัน

เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าต่อจากนี้กกต.จะต้องมาให้ข้อมูลเองโดยไม่สามารถส่งหนังสือมาชี้แจงได้แล้วใช่หรือไม่ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ไม่ใช่ เพราะข้อหาที่เป็นฐานฟอกเงิน เกิดมาจากฐานอั้งยี่ และมีการอภิปรายในฐานความผิดอาญาอื่น ก็ต้องนำมาประกอบการพิจารณา ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้คณะกรรมการได้มีความเห็น

และเมื่อเห็นว่าความจริงเป็นคดีพิเศษโดยอัตโนมัติแล้ว ในความผิดฐานฟอกเงิน แต่ยังมีความสงสัยในเรื่องรายละเอียด ว่ามูลค่าของทรัพย์สิน เกินกว่า 300 ล้านบาทหรือไม่ ซึ่งดีเอสไอ จะต้องไปดูเส้นทางการเงินและเส้นทางบุคคล ว่ามีตัวเลขเกิน 300 ล้านบาทหรือไม่

จึงต้องให้คณะกรรมการพิเศษเป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งคำชี้ขาดนี้ถือเป็นที่ยุติ และการเป็นคดีพิเศษไม่ใช่หมายความว่า จะทำคดีต่างจากที่อื่น แต่จะมีผู้เชี่ยวชาญในการสอบสวน และที่สำคัญคือ การทำตามพยานหลักฐาน ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ส่วนที่บางฝ่ายมีความเห็นว่าคดีนี้เป็นหน้าที่ของกกต. แต่การที่กรมสอบสวนคดีพิเศษรับคดีมา ต้องการดึงเป็นเรื่องทางการเมือง พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ตอนนี้กกต .ก็ทำอยู่ในบทบาทของเขา เพราะหนังสือตอบรับของกกต ก็ได้ตอบอย่างชัดเจนแล้ว ว่าความผิดในคดีอาญาอื่นๆกกต.ไม่มีอำนาจ

เมื่อถามถึงกรณีที่สว. ออกมาแสดงความเห็นว่า การเลือกตั้งสว.มาโดยวิธีสุจริตชอบธรรม ไม่มีความผิดตามที่กล่าวหาดีเอสไอต้องทำเรื่องนี้โดยละเอียดหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดการตั้งข้อสงสัยในสภา พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า สว.มีกระบวนการตรวจสอบได้อยู่แล้ว เราก็เคารพท่าน

แต่วันนี้คณะกรรมการ ไม่ได้มีฐานทางการเมืองเลย ซึ่งประธานในที่ประชุมก็ได้พูดว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญ กระทบกับความมั่นคง ถ้ามีการครอบงำอำนาจนิติบัญญัติ ก็จะส่งผลกระทบต่อหลายๆ เรื่อง ซึ่งเราก็ทำในความผิดฐานฟอกเงิน ส่วนจะขยายไปเป็นคดีอั้งยี่หรือคดีอื่นๆ ก็คงจะต้องมีการพิจารณากันอีกครั้ง เรายินดีหาก สว.จะมาให้การหรือแสดงความบริสุทธิ์ เราก็พร้อมที่จะรับ