แก้วสรร ชำแหละอำนาจ ดีเอสไอ ในคดี “ฮั้วเลือกตั้ง สว.”

05 มี.ค. 2568 | 11:33 น.
อัปเดตล่าสุด :05 มี.ค. 2568 | 11:39 น.

“แก้วสรร อติโพธิ” นักวิชาการอิสระ ยกกฎหมายชำแหละ อำนาจดีเอสไอ ในคดี “ฮั้วเลือกตั้ง สว.” ปมขอคณะกรรมการให้มีมติ รับเป็นคดีพิเศษ ติดตามเนื้อหาที่น่าสนใจผ่านบทความพิเศษ

วันนี้ (5 มีนาคม 2568) นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ เผยแพร่บทความ เรื่อง อำนาจ ดีเอสไอ ในคดี “ฮั้วเลือกตั้ง สว.” โดยมีเนื้อหาในรูปแบบของการ “ถาม-ตอบ” ดังนี้

ความผิดหลายบท

ถาม ดีเอสไอ กำลังขอคณะกรรมการให้มีมติ รับคดี “ฮั้วเลือกตั้ง สว.” เป็นคดีพิเศษ โดยอ้างว่ากกต.มีอำนาจเฉพาะความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ส่วนตนจะสอบสวนแต่เฉพาะความผิดฐานอื่น คือ ฐานอั้งยี่ และฟอกเงิน เท่านั้น ขอถามว่า การกระทำความผิดครั้งเดียวแต่ผิดหลายบทอย่างนี้ จะแยกการสอบสวนเป็นสองสายขนานกันไปอย่างนี้ได้หรือครับ

ตอบ แยกไม่ได้ครับ ขืนให้แยกได้คดีก็จะเดินไปถึงศาลสองศาล แล้วสองศาลนั้นจะตัดสินแยกกัน ต่างกันกันได้อย่างไร ในเมื่อมีมูลคดีมาจากการกระทำเดียวกัน
คดีที่ทำผิดกระทงเดียวผิดหลายบทอย่างนี้ กฎหมายบอกให้ลงโทษบทที่โทษหนักที่สุด ซึ่งก็หมายความว่าทุกบทต้องอยู่ในคดีเดียวกันอยู่แล้ว ดีเอสไอจะไปแยกสอบสวนอย่างนั้นไม่ได้

ถาม ตัวอย่างใน กฎหมาย ปปช. วางแนวปฏิบัติแก้ปัญหานี้ไว้อย่างใด

ตอบ เขาระบุไว้ว่า ในคดีคอรัปชั่นคดีหนึ่ง ๆ นั้น ทุกฐานความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับคดีคอรัปชั่น เช่นมีการปลอมสารด้วย   เช่นนี้ กฎหมาย ปปช.ก็ให้ถือความผิดปลอมเอกสารนี้เป็นคดีคอรัปชั่นด้วย  ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่กฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษเอง  ที่มีระบุให้ความผิดฐานใดบ้างเป็นคดีพิเศษนั้น ก็บัญญัติไว้ด้วยเช่นกันว่าให้ถือความผิดฐานอื่นที่เกิดเกี่ยวเนื่องด้วยเป็นคดีพิเศษด้วย

องค์กรสอบสวนหลัก

ถาม ผมถูกเจ้าหน้าที่รีดไถมีหลักฐานเป็นคลิปชัดเจน ผมไปแจ้งความตำรวจได้ไหม หรือต้องแจ้ง ปปช.เท่านั้น

ตอบ แจ้งตำรวจได้เสมอครับ แต่งานนี้ ปปช.เป็นองค์กรสอบสวนหลัก กฎหมาย ปปช.ระบุให้ตำรวจสอบเบื้องต้นก่อน แล้วรายงาน ปปช.ใน 30 วัน ว่าจะรับโอนเรื่องไปหรือไม่ หรือถ้าคุณไปร้อง ปปช.ก่อน แล้วเขาเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ปปช.จะส่งเรื่องให้ตำรวจท้องที่รับจัดการต่อไปก็ได้ ระบบที่ให้มีองค์กรสอบสวนหลักอย่างนี้ การสอบสวนซ้อนกันจึงไม่เกิดขึ้น

ถาม แล้วกฎหมาย กกต.ว่าไว้อย่างไร

ตอบ ก็ให้ กกต.เป็นหลักเหมือนกัน ถ้า กกต.ลงมือสอบสวน ใครก็รับคดีมาสอบสวนซ้อนไม่ได้ หรือถ้ารับไว้แล้ว กกต.เห็นควรสอบสวนเอง ก็เรียกสำนวนมาสอบได้เองอีกเช่นกัน ส่วนบางคดีถ้าสอย สส.หรือ สว.ในศาลฎีกาได้แล้ว ก็อาจมอบให้อัยการฟ้องอาญาต่อไป

ถาม แล้ว คดี “ฮั้วเลือกตั้ง สว.” นี่กกต.ลงมือสอบสวนแล้วหรือยังครับ

ตอบ ผมถามแล้วได้ความว่า กกต.ตั้งสำนวนตรวจสอบแล้ว แต่ดีเอสไอคิดว่าตนมีอำนาจสอบในข้อหาอื่นได้ ก็เลยจะทำเป็นคดีพิเศษ ซึ่งผมก็ชี้ไว้แล้วว่าแยกมาทำเป็นอีกคดีไม่ได้ ขืนรับเป็นคดีพิเศษฐานผิดอั้งยี่ กกต.ก็มีอำนาจเรียกคดีมารวมสอบเองได้อีกเช่นกัน

ความผิดฐานอั้งยี่ และฟอกเงิน

ถาม สองฐานความผิดนี้ เอามาตั้งข้อหาในคดี “ฮั้วเลือกตั้ง สว.” ได้หรือไม่

ตอบ เรื่องฟอกเงินนั้น จะเอามาใช้ได้ก็ต้องได้ความว่ามีความผิดฐานซื้อสิทธิขายเสียง ตามกฎหมายเลือกตั้งก่อน ดีเอสไอ จะเอามาตั้งข้อหาลอย ๆ โดยไม่ปรากฏความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งไม่ได้ ซึ่งตนเองก็รับไว้แล้วว่าข้อหานี้ตนไม่มีอำนาจ

ถาม แล้วความผิดอั้งยี่นี่ มันมาได้อย่างไร

ตอบ “อั้งยี่” เป็นองค์กรอาชญากรรม มีมาแต่โบราณ สมาชิกออกมาเที่ยวกระทำความผิดได้มากมายหลายฐาน  ทั้งกรรโชกทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย ฆ่าผู้อื่น จับมาลงโทษเท่าไหร่ก็ไม่หมด กฎหมายจึงสร้างความผิดฐาน “เป็นอั้งยี่” ขึ้นมา    โดยถือว่าเป็นองค์กรที่เป็นภัยต่อความสงบสุขในบ้านเมือง แม้จำเลยจะไม่ได้ลงมือทำผิดอะไร แต่แค่เป็นสมาชิกก็ผิดแล้ว   
หรือถ้าสมาชิกใดไปฆ่าคนโดยตนอยู่ในที่ประชุมแล้วไม่คัดค้าน ก็ถือว่าเป็นตัวการฆ่าคนด้วยตัวหัวหน้าก็โดนด้วย ใครช่วยหาสมาชิก ให้ที่พำนัก ก็ผิดด้วย

ทั้งหมดนี้แสดงว่าเราต้องการขจัดภัยร้ายที่ถึงขนาดจับตัวกันเป็นองค์กร มีการจัดตั้ง มีหัวหน้า มีสมาชิก  มีการกระทำผิดเป็นกิจกรรม เป็นภัยต่อความสงบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนต้องปราบปราม    

เข้าใจอย่างนี้แล้วคุณว่า คณะจัดฮั้วเลือก สว.ตามที่กล่าวหากันนั้น มีการจัดการกว้างขวางเกินครึ่งประเทศก็จริง แต่ไม่ได้จัดตั้งเป็นองค์กรยั่งยืนจนเป็นภัยอะไรให้ต้องกวาดล้าง เป็นแค่การจัดการเฉพาะกิจ จัดเสร็จแล้วก็จบ จะไปถือเป็นอั้งยี่อะไรไม่ได้หรอกครับ ทำอะไรผิดก็หยิบมาจัดการเป็นกระทง ๆ ไปตามนั้น ก็จบ

ตัวใครเป็น..คนผิด ???

ถาม สรุปว่า อาจารย์ไม่เห็นด้วยถ้า ดีเอสไอ จะสอบสวนคดีนี้ซ้อนกับ กกต.

ตอบ ผมท้วงติงเท่านั้นว่า ทางกฎหมายมันทำอย่างนี้ไม่ได้ ถ้ายังเห็นกันว่าคดีนี้มีการกระทำผิดจริงแต่ กกต.อมคดีไว้ในปากเฉย ๆ เฝ้าเตะถ่วงอยู่อย่างนั้น เรื่องก็ต้องเลื่อนไปเป็นการตรวจสอบกกต. คือให้ดีเอสไอตั้งสำนวนเลยว่า ในคดีนี้ มี กกต.อย่างน้อย 1 คน ละเว้นหน้าที่โดยทุจริต จากนั้นก็เอาหลักฐานที่คุยว่ามีอยู่เต็มมือนั้น ใส่ในสำนวนสอบเบื้องต้นให้หมดแล้วส่ง ปปช.เลยภายใน สามสิบวัน ว่ามี กกต. และเจ้าหน้าที่ใดร่วมกระทำผิดบ้าง   

ถาม แล้วเรื่องจะเดินไปอย่างไร

ตอบ ถ้า ปปช.เสียงเกินกึ่งเห็นว่าผิด เรื่องก็จะผ่านอัยการแล้วไปถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง ถึงขั้นพ้นตำแหน่ง กกต.และต้องโทษในที่สุด

ถ้าจะเข้าตามตรอก ออกตามประตู เรื่องมันต้องเดินไปตามกฎหมายอย่างนี้ ดีเอสไอจะเลี้ยวลดประดิษฐ์ข้อหามาแยกสอบสวน แล้วยังมีขบวนการคอยปล่อยหลักฐานชวนเชื่อหลุดออกมาเป็นระลอก จริงเท็จก็ไม่มีใครรับผิดชอบอย่างทุกวันนี้นั้น ไม่ถูกต้องแน่นอน

ทำอย่างนี้ถือเป็นอั้งยี่ทางการเมืองชนิดหนึ่ง ส่วน GEN Y ที่ชอบแต่งตัวแปลก ๆ อาจเป็นได้แค่ลูกหัวหน้าอั้งยี่เท่านั้น