ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศโตต่ำ ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น ส่งผลกระทบรุนแรงต่อ การบริโภคโดยเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ เจอมรสุม รอบทิศทาง ขณะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่มียาแรง แม้ว่าจะมีข่าวดีกรณี คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ลดดอกเบี้ยนโยบายลง แต่มองว่ายังไม่เพียงพอ
รวมถึงความคาดหวัง ของภาคเอกชนจากการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือมาตรการ LTV สำหรับการซื้อบ้านหลังที่ 2 และหลังที่ 3 เพื่อช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ มองว่า มีสัญญาณที่ดี แต่ต้องใช้เวลาศึกษาจากธปท.ไม่ตํ่ากว่า 2 เดือน นับตั้งแต่หารือ กว่าจะผ่านการพิจารณา อาจเข้าสู่ไตรมาสที่2หรือช่วงครึ่งปีหลัง (หรือไม่ต้องติดตาม) ซึ่งดูเหมือนจะไม่ทันกาลกับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ตามที่ผู้ประกอบการหลายรายกังวล ทั้งที่ควรตัดสินใจ ผ่อนปรน LTV ทันที ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
ย้อนดูผลประกอบการปี2567 รายได้และผลกำไรสุทธิของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ลดลง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าไตรมาส 4 ยอดกำลังซื้อกระเตื้องขึ้นส่วนหนึ่งจากอานิสงส์ มาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนอง สิ้นสุดลงวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นตัวเร่งในการตัดสินใจ รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขายนับเป็นโอกาสทองที่ผู้ซื้อเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เมื่อดู 5 อันดับแรก ผู้ประกอบการที่มีรายได้มากที่สุดในปี 2567 แชมป์ ยังคงเป็นของ แสนสิริ ที่39,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ประมาณ 2% ตามมาด้วย เอพี (ไทยแลนด์) มีรายได้รวมประมาณ 37,460 ล้านบาท และ ศุภาลัย มีรายได้ประมาณ 31,985 ล้านบาท ส่วน แลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีรายได้รวม 28,151 ล้านบาท และ พฤกษาฯ มีรายได้รวม 20,996 ล้านบาท
ที่โดดเด่น เป็นที่น่าจับตา คือ ศุภาลัย ที่มีรายได้ และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ที่สำคัญยังมีกำไรสุทธิ สูงเป็นอันดับ1 ของกลุ่มอยู่ที่ 6,190 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบจากปีที่ผ่านมา ขณะค่ายใหญ่ กำไรสุทธิ รองลงมาคือแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่ 5,491 ล้านบาท แม้ว่าจะลดลง26.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ส่วน แสนสิริ กำไรสุทธิ ตามมาเป็นอันดับ3 ที่ 5,253ล้านบาท ลดลง13.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิอันดับที่ 4 เอพี (ไทยแลนด์) ที่ 5,020ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 17.1% อันดับ5 ควอลิตี้เฮ้าส์ กำไรสุทธิที่ 2,150 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 14%
จากการวิเคราะห์ของ นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย ประเมินว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มีรายได้รวมในปี 2567 ลดลงคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปี 2566 แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายเช่นกันที่มีรายได้เพิ่มขึ้น หรือลดลงจากปีก่อนหน้านี้ไม่มาก หรือลดลงประมาณ 2-3% เท่านั้น
แสดงให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยยังมีกำลังซื้ออยู่ในตลาดต่อเนื่องขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการรายใดจะเข้าถึงและสามารถดึงดูดให้ผู้ซื้อจองและโอนกรมสิทธิ์ได้มากกว่ากัน อย่างไรก็ตามในปี 2568 ผู้ประกอบการรายใหญ่มีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่มากกว่าปี 2567 และยังคงเป็นการขับเคี่ยวกันของ 3 รายหลัก คือ เอพี (ไทยแลนด์) ที่ประกาศแผนการลงทุนมีมูลค่าโครงการวมมากถึง 65,000 ล้านบาท จากจำนวน 42 โครงการ ในขณะที่ แสนสิริ เปิดขายโครงการใหม่จำนวน 29 โครงการ เท่านั้น แต่มีมูลค่าโครงการมากถึง 52,000 ล้านบาท โดยโฟกัสไปที่กลุ่มสินค้าระดับบน-ลักชัวรีมากขึ้น
ส่งผลให้มูลค่าเฉลี่ยต่อโครงการสูงกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ และศุภาลัย มีโครงการเปิดขายใหม่จำนวน 36 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 46,000 ล้านบาทด้วยแรงกดดันในตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีต่อเนื่องในปีนี้ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงเหลือ 2% แล้วก็ตาม แต่มาตรการช่วยเหลือหรือมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯจากรัฐบาลยังไม่มีความเคลื่อนไหว
รวมไปถึงการที่ผู้ประกอบการทุกรายพยายามกดดันให้ธปท.ผ่อนปรนเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อ การผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ชั่วคราวเพื่อให้กำลังซื้อส่วนหนึ่งกลับเข้ามาในตลาด แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้รับการตอบรับจากหน่วยงานภาครัฐ หากเป็นแบบนี้เชื่อว่าปี 2568 จะยังเป็นอีกปีที่ตลาดที่อยู่อาศัยต้องเผชิญกับความท้าทายต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา
“ฐานเศรษฐกิจ” ตรวจสอบ ความเคลื่อนไหวของ ผู้ประกอบการรายใหญ่ พบว่าแทบทุกค่าย ต่างประกาศ ยุทธ์ศาสตร์ เร่งเครื่องยนต์ ขยับพอร์ตธุรกิจ เดินในเส้นทางที่ตนเองถนัด แต่จุดหมายปลายทางเดียวกันคือการได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคที่รออยู่!!!
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,077 วันที่ 9 - 12 มีนาคม พ.ศ. 2568