วิธีคิด “นาฬิกอติภัค แสงสนิท” พลิก "DAD" ลุยพอร์ตธุรกิจใหม่ สู่ความยั่งยืน

05 มี.ค. 2568 | 05:34 น.

วิธีคิด“ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท” พลิก "ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ " DAD ( ธพส.) ลุยพอร์ตธุรกิจใหม่ สู่ความยั่งยืน นอกจากศูนย์ราชการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ พัฒนาโครงการให้หน่วยงานรัฐ ปี68 ประเดิม 3โครงการ ปี67 กวาดกำไร1,080 ล้านบาท ทรัพย์สินรวม4.75 หมื่นล้านบาท

 

ประสบความสำเร็จอย่างสูงสำหรับการพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ บริเวณแจ้งวัฒนะ ให้เป็นองค์กรสมัยใหม่ รวมถึงที่ราชพัสดุตามนโยบายรัฐบาล เพื่อให้ทรัพย์สินของรัฐมีมูลค่าเพิ่มสูง และเติบโตอย่างยั่งยืน 

ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท

ภายใต้ วิสัยทัศน์ ของ “ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ DAD Asset Development (ธพส.) ผู้มีวิธีคิดสร้างรายได้และผลตอบแทนกำไร  เติบโตอย่างมืออาชีพมาจาก 4 พันธกิจ สำคัญ 1.พัฒนาศูนย์ราชการให้ทันสมัย และบริหารจัดการให้เกิดความสมดุล 2. พัฒนาและบริหารทรัพย์สินของรัฐ ให้เกิดมูลค่าเพิ่มทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยหลักธรรมาภิบาล 3. พัฒนาธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งเพิ่มช่องทางการหารายได้ที่หลากหลายสร้างประโยชน์แก่รัฐ 4. พัฒนาองค์กรด้วยนวัตกรรมและการบริหารจัดการสมัยใหม่

 

ศูนย์ราชการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ

 ดร.นาฬิกอติภัค สะท้อนผลประกอบการ จากการบริหารงานของธพส. ไว้อย่างน่าสนใจ โดยสรุป ณ สิ้นปี2567 ธพส.มีรายได้กว่า 3,368 ล้านบาท ผลกำไรกว่า 1,085 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวมเกือบ 47,500 ล้านบาท  เทียบกับปี2562 เป็นปีที่เข้ามานั่งบริหารครั้งแรก  โดยในครั้งนั้นมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 27,026ล้านบาท  มีรายได้  3,265ล้านบาท สร้างผลตอบแทนที่เป็นกำไร 540 ล้านบาท  หากย้อนไปปี 2561  มีรายได้ 2,857 ล้านบาท มีกำไร 530.9 ล้านบาท สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 25,725 ล้านบาท เรียกว่ามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ขณะที่มาของรายได้ เกิดจาก 4 ส่วน 1.รายได้จากกรมธนารักษ์ ในฐานะผู้เช่าแทนหน่วยงานของรัฐทั้งหมดในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ  79.4%  2.รายได้จากการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ 17.07% 3.รายได้จากการรับบริหารและพัฒนาอาคารบนที่ดินราชพัสดุของหน่วยงานรัฐ 1.81% 4.รายได้จากการรับบริหารโครงการบริหารสนามกอล์ฟบางพระ จังหวัดชลบุรี

โมเดลโครงการก่อสร้างอาคารที่พักและอาคารสำนักงาน กรมสรรพากร สุขุมวิทซอย11 ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง

โครงการบริหารศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบพระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่0.82%พร้อมทั้งมีเป้าหมายสร้างรายได้ระยะยาว นับจากปี 2568 ถึง ปี 2570  ผลการดำเนินงานธพส.จะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปัจจัยบวกคือการรับรู้รายได้จากการเปิดให้บริการอาคาร C ในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่  660,000 ตารางเมตร

มีทั้งพื้นที่สำนักงาน และพื้นที่พาณิชย์ ดังนั้นเมื่อรวม 3 อาคาร คือ อาคาร A  อาคาร B และอาคาร C  ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ จะมีหน่วยงานราชการเข้าใช้พื้นที่รวมกว่า 58 หน่วยงาน รวมพื้นที่กว่า 839,481 ตารางเมตร จึงมีรายได้จากค่าบริหารจัดการ ค่าเช่าพื้นที่พาณิชย์ ที่เพิ่มขึ้น และ ธพส.ยังมีรายได้จากการขยายธุรกิจรับก่อสร้างอาคารสำนักงานและที่พักอาศัยให้แก่หน่วยงานภาครัฐที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วย 

จากแนวคิดที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ธพส.ต้องเป็นองค์กรชั้นนำที่เลี้ยงตัวเองได้ อย่างมั่นคง ยั่งยืน พนักงาน และลูกจ้าง200 ชีวิต มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ไม่ใช่เป็นเพียงนิติบุคคลอาคารชุด จึงจุดประกาย โครงการพัฒนาและบริหารโครงการที่ไม่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ สร้างโมเดลธุรกิจ  แบบเคาะประตูบ้าน เพื่อเข้าถึง และจูงใจลูกค้า ยุทธศาสตร์เหนือชั้น ที่ดร.นาฬิกอติภัค อธิบายว่า นี่คือจุดขายของธพส. ช่วยสนับสนุนโครงการภาครัฐแบบครบวงจรโดยไม่ต้องมีงบลงทุน  หรือไม่ต้องรองบประมาณ เพียงแค่มีเงินนอกงบประมาณ ผ่อนกับธพส. โดยธพส.จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางกู้สินเชื่อ พร้อมทั้งพัฒนาโครงการให้ตามที่ต้องการ

แผนธุรกิจ

 โมเดลธุรกิจ ลุยพอร์ตธุรกิจใหม่ ทำให้ธพส.เป็นที่รู้จักและหน่วยงานรัฐจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจเกิดจาก ดร.นาฬิกอติภัค มองว่าธพส.จะหมดสัญญาบริหารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โดยเฉพาะอาคาร A และอาคาร B กับกรมธนารักษ์ในปี 2581 และแม้ว่ายังเหลือเวลาอีกยาวนาน  เลวร้ายที่สุดหากธพส. ไม่ได้รับการต่ออายุสัญญา หรือให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งมารับช่วงต่อ นั่นหมายถึง องค์กรนี้ต้องมีอันยุติบทบาทลง  ซํ้าร้าย พนักงาน ลูกจ้าง อาจตกที่นั่งลำบาก ที่มากกว่าคือคนในครอบครัวที่อยู่ข้างหลัง ต้องพลอยได้รับผลกระทบตามไปด้วย

จึงนำมาซึ่งการ ปรับบทบาทใหม่ของธพส. สู่องค์กรสร้างรายได้เลี้ยงตนเอง อัปสกิลพนักงานอย่างรอบด้าน พบปะผู้คนทุกหน่วยงาน ไม่เพียงแต่รับบริหาร พื้นที่ภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯของกรมธนารักษ์ แต่เพียงอย่างเดียว นี่คือการมองการณ์ไกลแม้ในที่สุดแล้วธพส.จะได้รับการพิจารณาต่อสัญญา จากกรมธนารักษ์มากถึง 80% ก็ตาม  เนื่องจากกรมธนารักษ์ คือ ผู้เช่าพื้นที่ทั้งหมด โดยจ่ายค่าเช่าให้ธพส. ในฐานะผู้บริหารพื้นที่ ปีละ5,000 ล้านบาท เพื่อให้ทุกหน่วยงานเข้าใช้พื้นที่ โดยอาคาร A และ B  จ่าย 2,700 ล้านบาท โซน C จ่าย 2,300 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่ปี2551จนถึงปี2581   

สำหรับยุทธศาสตร์ การรับพัฒนาโครงการแบบครบวงจร ที่ไม่ใช่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ  โดยธพส.มีแนวคิดขับเคลื่อนผ่านแผนพัฒนาธุรกิจอสังหา ริมทรัพย์ ตั้งเป้าหมายศึกษาความเป็นไปได้โครงการทรัพย์สินของรัฐใหม่อย่างน้อยปีละ 2 โครงการ และในปี 2568 มี 3 โครงการใหม่ที่เตรียมก่อสร้างรวมมูลค่ากว่า 1,211.85 ล้านบาท  ยังไม่รวมโครงการที่อยู่ระหว่างศึกษาและเจรจามีอยู่หลายโครงการ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีผู้จุดประกาย ย่อมมีผู้ที่สานต่อเสมอ แม้ในบางครั้งจะมีความยากลำบากก็ตาม

ดร.นาฬิกอติภัคสะท้อนว่ามีหลายโครงการของหน่วยงานภาครัฐที่หารือร่วมกัน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ผู้บริหารสูงสุดขององค์กร  ตามข้อเท็จจริงมีอีกหลายพื้นที่ เช่น สรรพกรพื้นที่12 บางขุนเทียน  สรรพสามิตภาคที่ 10 ที่ลาดพร้าว-วังหิน  สำนักงานอัยการสูงสุด  ที่ต้องการ พัฒนาโครงการจำนวน 4 อาคารมูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท เพื่อเป็นสำนักงานใหญ่ ศูนย์ฝึกอบรม บนที่ดินที่ราชพัสดุ จำนวน 15 ไร่ บริเวณ ประดิพัทธ์ซอย19 แต่ยังติดปัญหา หลายด้าน ซึ่งบางรายก็ไม่สามารถรอได้ เป็นต้น

            “จุดขายเราชัดเจนไปหาลูกค้า  เราคือผู้เสนอโครงการ คนจ่ายเงินคือลูกค้า เราสามารถเอาเงินเขาออกจากกระเป๋า และจ่ายเงินแทนเพื่อจะสร้างแกรนด์บิวดิ้ง  พูดประโยคนี้ออกไปทุกคนก็สนใจแล้ว”

            นอกจากนี้ ธพส. ยังมองหาธุรกิจใหม่ๆ ที่จะสร้างรายได้เพิ่มให้กับองค์กร โดยยังคงเป็นธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อบริหารที่ราชพัสดุให้เกิดมูลค่าเพิ่ม สร้างรายได้ให้แก่รัฐ ให้แก่ประเทศ ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้ง ธพส. หน่วยงานที่ถือหุ้นโดยกระทรวงการคลัง 100% มุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ไปพร้อมกับแนวคิด พัฒนาพื้นที่สีเขียว เช่นเดียวกับการพัฒนาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯให้เป็น ต้นแบบเมืองสีเขียว คาร์บอนตํ่า สร้างชุมชนสังคมใหม่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่ ดร. นาฬิกอติภัค ยํ้ามาโดยตลอดว่า จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม้จะต้องเดินออกจากพื้นที่นี้ไปก็ตาม !!

 

หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐาเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,076 วันที่ 6 - 8 มีนาคม พ.ศ. 2568