วันนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2568) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4 และภาพรวมปี 2567 ว่า แม้ภาวะหนี้ครัวเรือน ในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 จะชะลอตัวลงมา 3 ไตรมาสติดต่อกัน โดยมีมูลค่า 16.34 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่สินเชื่อบางประเภทก็ยังขยายตัว ทั้ง สินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ และส่วนสินเชื่อส่วนบุคคล
ขณะที่คุณภาพสินเชื่อของครัวเรือน ยังปรับลดลงต่อเนื่อง โดยในไตรมาสสาม ปี 2567 จากข้อมูลบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร พบว่า มูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) มีมูลค่า 1.2 ล้านล้านบาท ขยายตัว 14.1% หรือคิดเป็นสัดส่วน 8.78% ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 8.48% ของไตรมาสที่ผ่านมา
ส่วนข้อมูล NPLs ธนาคารพาณิชย์ มีมูลค่า 1.76 แสนล้านบาท ขยายตัว 15.9% คิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.28% เพิ่มขึ้นจาก3.16% จากไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตามหากพิจารณาสัดส่วน NPLs ในภาพรวมพบว่า ปรับเพิ่มขึ้นเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อเพื่อการเกษตร
ทั้งนี้สินเชื่อบัตรเครดิตเป็นสินเชื่อที่ครัวเรือนมีการผิดนัดชำระหนี้มากที่สุด สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ NPLs ต่อสินเชื่อรวมที่สูงถึง 12.58% รองลงมาเป็น สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคล ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม สินเชื่อค้างชำระระหว่าง 30 – 90 วัน (SMLs) ต่อสินเชื่อรวมกลับปรับลดลง หรืออยู่ที่ 3.52% เมื่อเทียบกับ 3.66% ของไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงทุกประเภทสินเชื่อ
นายดนุชา กล่าวว่า ภาพรวมของหนี้สินครัวเรือน ในไตรมาสสาม ปี 2567 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.34 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ถือว่าชะลอตัวลงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ที่มียอดคงค้างหนี้หดตัวเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน
ทั้งนี้การชะลอตัวของหนี้สินครัวเรือนทำให้สัดส่วนหนี้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปรับลดลงมาอยู่ที่ 89% จาก 89.8% ของไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งการปรับลดลงของสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ข้างต้น ไม่ได้สะท้อนว่าปัญหาหนี้สินครัวเรือนลดลงเพราะเกิดจากการชะลอตัวของหนี้สินครัวเรือนเป็นหลัก
ดังนั้น หากหนี้ครัวเรือนและ GDP ขยายตัวในอัตราที่ต่ำทั้งคู่ต่อไป จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของรายได้ครัวเรือนในระยะถัดไป และทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนมีแนวโน้มลดลงได้
“การเพิ่มขึ้นของ NPLs มาจากรายได้ของแรงงานยังเพิ่มขึ้นไม่มากพอที่จะทำให้ตัวเลขหนี้ครัวเรือน และยอด NPLs ลดลง แม้ GDP จะขยายตัว 2-3% รายได้ของแรงงานปรับเพิ่มขึ้น แต่ตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้แรงงานมีภาระที่ต้องใช้หนี้ในแต่ละงวดมากขึ้น จนอาจต้องไปกู้ยืมเงินจากแหล่งอื่น ๆ มาหมุนจ่ายหนี้ ทำให้ปัญหาหนี้สินยังไม่ได้ลดลงได้เร็วในระยะต่อไป” นายดนุชา ระบุ
อย่างไรก็ตาม สศช. มีข้อเสนอว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหาทางช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” โดยปรับรูปแบบโครงการและขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมกลุ่มต่าง ๆ มากขึ้น เพราะข้อมูล ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการนี้เพียง 746,912 บัญชี จากลูกหนี้ 642,030 ราย เท่านั้น และปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการขยายระยะเวลาเข้าร่วมโครงการไปถึงวันที่ 30 เมษายน 2568
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเร่งประชาสัมพันธ์ และปรับปรุงมาโครงการให้ลูกหนี้เข้าถึงความช่วยเหลือมากขึ้น เพราะที่ผ่านมามีเสียงสะท้อนว่า ข้อกำหนดในมาตรการบางส่วนเป็นอุปสรรคกับผู้เข้าโครงการ เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาหนี้ได้อย่างแท้จริง