วันนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2568) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวม ปี 2567 เรื่อง ผลกระทบของการใช้สมาร์ตโฟนต่อสุขภาพจิตของ Gen Z : บทเรียนจากต่างประเทศ ว่า Gen Z (Generation Z) เป็นเจเนอเรชันแรกที่เกิดและเติบโตท่ามกลางยุคดิจิทัลที่ได้มีการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอินเทอร์เน็ต
รวมถึงมีการเกิดขึ้นอย่างหลากหลายของสื่อโซเชียลมีเดีย ทำให้การมีสมาร์ตโฟนกลายเป็นเรื่องปกติ จากข้อมูลการสำรวจการมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในไตรมาส 3 ของปี 2567 พบว่า กลุ่ม Gen Z 99.1% มีและใช้มือถือสมาร์ตโฟน และ 99% มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงกว่าทุกกลุ่มอายุ อีกทั้งกลุ่ม Gen Z 34% ยังมีการใช้แท็บเล็ตร่วมด้วย
โดยอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารประจำวัน การหาความบันเทิงสนุกสนาน รวมทั้งการค้นคว้าข้อมูลและองค์ความรู้ต่าง ๆ โดยจากการรวบรวมของ Agenda ในปี 2567 พบว่า เนื้อหาที่กลุ่ม Gen Z บริโภคผ่านสื่อโซเชียลมีเดียมักเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง การท่องเที่ยวที่สามารถสร้างรายได้ควบคู่กัน และการพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศ
ทั้งนี้ Gen Z ยังใช้โซเชียลมีเดียในการติดตามสถานการณ์ทางสังคมต่าง ๆ รวมถึงการสื่อสารที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิต (Lifestyle) แบบคนรุ่นใหม่เพื่อสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์โดยแพลตฟอร์มที่กลุ่ม Gen Z ใช้งานสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
สอดคล้องกับข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่พบว่า กลุ่ม Gen Z ในประเทศไทย ส่วนใหญ่ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดีย โดยการใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยต่อวันของคนกลุ่มนี้มากถึง 12 ชั่วโมง 8 นาที ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภาพรวมทุกกลุ่มวัยที่อยู่ที่ 11 ชั่วโมง 25 นาที
การใช้โซเชียลมีเดียของกลุ่ม Gen Z สามารถส่งผลกระทบหลายด้าน โดยรายงาน Digital Insights Thailand ปี 2567 พบว่า กลุ่ม Gen Z 75% ระบุว่า โซเชียลมีเดียช่วยให้ไม่ตกเทรนด์ใหม่ ๆ และ 45% ยอมรับว่า โซเชียลมีเดียช่วยให้มีตัวตนและได้รับการยอมรับมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การอยู่กับสังคมออนไลน์ตลอดเวลา มีแนวโน้มที่จะทำให้กลุ่ม Gen Z ได้รับผลกระทบทางลบจากโซเชียลมีเดียมากกว่ากลุ่มวัยอื่น โดยกว่า 53% ของกลุ่มนี้ ระบุว่า การใช้โซเชียลมีเดียส่งผลกระทบต่อสุขภาพด้านจิตใจ และ 58% ยังระบุว่า โซเชียลมีเดียสร้างแรงกดดันและเกิดการเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่เมื่อพิจารณาความสามารถในการเลิกใช้โซเชียลมีเดียของตนเอง กลับพบว่า 44% ระบุว่าค่อนข้างยาก และอีก 18% ระบุว่ายากมาก
สถานการณ์ดังกล่าวไม่เพียงเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังมีตัวอย่างในหลายประเทศ ดังนี้
ประเทศอังกฤษ
พบว่า วัยรุ่นมีแนวโน้มใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่พึ่งพาโซเชียลมีเดียยากมากขึ้น และโซเชียลมีเดียยังส่งผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพจิต รวมถึงยังทำให้เกิดความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและการถูกกลั่นแกล้งทางไซเบอร์
ขณะเดียวกัน การใช้โทรศัพท์มือถือและสื่อประเภทอื่น ๆ เป็นระยะเวลานาน ยังทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถทางปัญญา ผลการเรียน และความสามารถทางอารมณ์และสังคม
นอกจากนี้การใช้โซเชียลมีเดียยังทำให้วัยรุ่นมีอาการซึมเศร้าและขาดความมั่นใจ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหญิงที่มักเกิดการเปรียบเทียบรูปลักษณ์และเกิดความกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตนเอง
กลุ่ม Gen Z เกิดความกดดันทางสังคมจากเปรียบเทียบตนเองกับความสำเร็จของผู้อื่นบนโซเชียลมีเดีย โดยข้อมูลจากรายงานของ BMC Psychology36 ในปี 2567 ระบุว่า การรับชมเนื้อหาที่ประสบความสำเร็จของคนบนโซเชียลมีเดีย อาทิ การได้รับรางวัลการแข่งขันทางวิชาการ การมีผลการเรียนดี เทคนิคการเรียนที่มีประสิทธิภาพ ทำให้กลุ่ม Gen Z วัยเรียนชาวจีนเกิดทัศนคติ “สามารถพัฒนาทักษะหรือประสบความสำเร็จได้จากความพยายาม” แบบไม่รู้ตัว
รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และพฤติกรรมที่ไม่ยั่งยืนอย่างการเรียนหนักเกินไปจนเกิดภาวะหมดไฟ (Academic Burnout) รวมทั้งเกิดความเครียด ความวิตกกังวล ความผิดหวัง หรือมีความมั่นใจในตนเองต่ำเมื่อไม่สามารถพัฒนาได้เท่ากับคนอื่น
จากการศึกษาของ Jonathan Haidt จากมหาวิทยาลัย New York ในปี 2024 ที่ได้ทำการศึกษาปัญหาการใช้สมาร์ตโฟนและการเข้าถึงโซเชียลมีเดียต่อโรคทางจิตเวชของเด็ก Gen Z ในสหรัฐอเมริกา พบว่า การใช้สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตส่งผลต่อเด็ก Gen Z ใน 4 ด้าน คือ
ผลกระทบทั้ง 4 ด้านเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เด็กมีปัญหาสุขภาพจิต
สถานการณ์ข้างต้นชี้ให้เห็นว่า ปัญหาสุขภาพจิตจากการใช้โซเชียลมีเดียของ Gen Z เป็นปัญหาที่อาจมีความรุนแรงขึ้นได้ อีกทั้งยังอาจเป็นปัญหาต่อเนื่องไปยังเจเนอเรชันถัดไปเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเช่นกัน ซึ่งภาครัฐของประเทศต่าง ๆ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ และออกมาตรการในการจัดการ อาทิ
1. การจำกัดอายุ โดยประเทศออสเตรเลีย มีมติผ่านร่างกฎหมาย The Online Safety Amendment (Social Media Minimum Age) Bill 2024 (the Bill) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องสุขภาพจิตและร่างกายของเยาวชนออสเตรเลีย โดยกำหนดอายุขั้นต่ำในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ไว้ที่ 16 ปี
ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปี สามารถสร้างบัญชีหรือใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ได้ ทั้ง Facebook Instagram TikTok Snapchat และ X โดยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียดังกล่าวมีเวลา 12 เดือน ในการพัฒนาระบบจำกัดด้านอายุ คาดว่า จะเริ่มใช้ได้ภายในสิ้นปี 2025
2. การควบคุมเนื้อหา โดยประเทศอังกฤษ มีกฎหมาย The Online Safety Act 2023 (the Act) ที่กำหนดให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ ต้องด าเนินการป้องกันและจัดการกับเนื้อหาที่เป็นอันตราย
เช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์ ที่มีกฎหมาย Protection from Harassment Act (POHA) ที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้ปัญหา Doxing และ Cyberbully ที่มุ่งเน้นการคุ้มครองบุคคลจากการถูกคุกคามและข่มขู่ หรือทำให้หวาดกลัวโดยเจตนาด้วยวิธีเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลที่สามารถระบุตัวตนได้ ซึ่งกำหนดโทษปรับเป็นเงิน 5,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (100,000 บาท) หรือจำคุก 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้การสะกดรอยตามทั้งในชีวิตจริงและบนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นความผิดทางอาญา ขณะที่ผู้เสียหายที่ถูกกลั่นแกล้งทางออนไลน์ (Cyberbullying) สามารถขอให้ศาลออกคำสั่งคุ้มครองเพื่อให้ผู้กระทำละเว้นการกระทำได้ อีกทั้งยังมีมาตรการในการจัดการการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและการใส่ร้าย โดยผู้เสียหายสามารถขอคำสั่งศาลให้ลบเนื้อหาหรือชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องได้
ทั้งนี้ สิงคโปร์ยังมีแคมเปญที่มุ่งเน้นการให้ความรู้แก่เยาวชนเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ รวมถึงมีคู่มือเกี่ยวกับการรับมือกับ Cyberbullying อย่าง Spot and stop cyberbullying in its tracks ควบคู่ไปด้วย
3. การจำกัดระยะเวลาใช้งาน โดยประเทศจีน ได้ออกแนวปฏิบัติในการใช้อุปกรณ์พกพาสำหรับเด็กและเยาวชน ซึ่งได้กำหนดให้เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปี สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน
ขณะที่เด็กอายุ 16 – 18 ปี สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน และไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน ตั้งแต่เวลา 22.00 น. จนถึง 06.00 น. ของอีกวัน ยกเว้นแอปพลิเคชันที่จำเป็น เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครอง นอกจากนี้ เมื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตไประยะเวลาหนึ่งจะมีการแจ้งเตือนให้พักผ่อนอีกด้วย
4. การเพิ่มความปลอดภัยบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยประเทศสหรัฐอเมริกา ในรัฐแคลิฟอร์เนียมีร่างกฎหมาย California Age - Appropriate Design Code Act (CAADCA) ที่มีเป้าหมายเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนที่ใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์
โดยกำหนดให้บริษัทเทคโนโลยีต้องออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการของตนให้เหมาะสมกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งต้องมีการบังคับปรับปรุงหรือติดตั้งระบบความปลอดภัยสำหรับเด็กเป็นค่าเริ่มต้น อาทิ การจำกัดการแชร์ข้อมูลส่วนตัว การห้ามติดตามตำแหน่งของเด็ก โดยไม่ได้รับรับอนุญาต รวมถึงระบบแจ้งเตือนการเลื่อนหน้าจอแบบไม่มีที่สิ้นสุด ( Infinite scrolling) ที่เป็นการโหลดเนื้อหาเพิ่มโดยอัตโนมัติ เพื่อลดการติดจอและเสพติดโซเชียลมีเดีย
ตัวอย่างข้างต้นเป็นแนวทางที่รัฐบาลในต่างประเทศใช้ในการจำกัดการเข้าถึงและป้องกันปัญหา ซึ่งไทยอาจนำมาปรับใช้ให้มีความเหมาะสมกับบริบทของประเทศได้ อย่างไรก็ตาม มาตรการของรัฐเพียงอย่างเดียวอาจดำเนินการได้อย่างจำกัด ซึ่งครอบครัวและสถานศึกษาต้องเข้ามามีบทบาทในการป้องกันและควบคุมเพื่อลดผลเสียของการใช้สมาร์ตโฟน และอินเทอร์เน็ตของกลุ่มเด็กและเยาวชนร่วมกันด้วย
โดย สถาบันครอบครัว ควรเป็นต้นแบบที่ดีในการใช้โซเชียลมีเดียอย่างเหมาะสม เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากพฤติกรรมที่ถูกต้องแก่เด็ก อาทิ การหลีกเลี่ยงการใช้สมาร์ตโฟนขณะรับประทานอาหารหรือสนทนาภายในครอบครัว การไม่โพสต์ข้อมูลส่วนตัวของสมาชิกบนโซเชียลมีเดียมากเกินไป
รวมถึงต้องสื่อสารและสร้างความเข้าใจที่ดีร่วมกัน โดยเปิดโอกาสให้ลูกพูดคุยแบบเป็นมิตรเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้โซเชียลมีเดีย แทนการตั้งข้อสงสัยหรือตำหนิอย่างรุนแรง ที่อาจทำให้เด็กปิดกั้นและไม่กล้าปรึกษาเมื่อมีปัญหา
รวมทั้งการกำหนดกฎเกณฑ์พร้อมอธิบายเหตุผลที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจถึงผลกระทบจากการใช้โซเชียลมีเดีย อาทิ การกำหนดเวลา การไม่พูดกับคนที่ไม่รู้จักบนออนไลน์นอกจากนี้ ยังต้องส่งเสริมกิจกรรมทางกายเพื่อลดการติดโซเชียลมีเดีย
สำหรับ สถาบันการศึกษา ควรมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ให้กับนักเรียน Gen Z เพื่อให้สามารถใช้โซเชียลมีเดียอย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ โดยเฉพาะด้านจริยธรรมในการใช้โซเชียลมีเดีย (Digital Ethics) ในการเคารพสิทธิของผู้อื่น
รวมไปถึงการใช้โซเชียลมีเดียที่สร้างสรรค์ นอกจากนี้ ยังต้องบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับการเรียนการสอนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผลกระทบของโซเชียลมีเดีย อาทิ การวิเคราะห์ข่าวปลอม หรือการจัดกิจกรรม “วันปลอดโซเชียล” (Social Media Detox Day) เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของการใช้เวลาอย่างสมดุล