ผลกระทบจากราคาข้าวเปลือกนาปรังตกต่ำต่อเนื่อง ชาวนาออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาด่วน ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.)ด้านการตลาดที่มีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ได้เสนอมาตรการช่วยเหลือชาวนาใน 3 มาตรการ ได้แก่ 1.มาตรการสินเชื่อชะลอการขายข้าวนาปรัง (จำนำยุ้งฉาง)เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน วงเงิน 1,219.13 ล้านบาท
2.เปิดจุดรับซื้อข้าวของเกษตรกร โดยผู้ประกอบการค้าข้าวจะช่วยซื้อในราคานำตลาด 300 บาทต่อตัน เป้าหมาย 3 แสนตัน โดยรัฐสนับสนุนค่าบริหารจัดการ 500 บาทต่อตัน วงเงิน 150 ล้านบาท และ 3.รัฐชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าว (โรงสี) 6% เงื่อนไขต้องซื้อข้าวในราคานำตลาด 200 บาทต่อตัน เพื่อดึงซัพพลายออกจากตลาด วงเงิน 524.40 ล้านบาท รวม 3 มาตรการ วงเงินกว่า 1,893 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย และโมเดิร์นเทรดจัดทำข้าวถุงราคาประหยัด เป้าหมาย 5 แสนตัน
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ทางกรมการค้าภายใน ได้มีนัดประชุมกับกลุ่มย่อยโรงสี หน่วยงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อหารือความเป็นไปได้ของการเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวนาปรัง โดยกระทรวงพาณิชย์ มีความเห็นว่าศักยภาพของสหกรณ์การเกษตรในภาคกลางในการอบความชื้นข้าว คลังเก็บ และจุดรับซื้อมีไม่เพียงพอ ดังนั้นจะให้ทางโรงสีมาเข้าร่วมโครงการด้วย ซึ่งได้เตรียมกระบวนการสำรองไว้ในกรณีจุดสหกรณ์มีไม่เพียงพอ โดย ธ.ก.ส.จะออกหนังสือคํ้าประกัน (Letter of Guarantee ) ให้โรงสี 100% เพื่อใช้เป็นเครดิตวงเงินในการรับซื้อข้าวจากชาวนา
“ยกตัวอย่างรัฐตั้งเป้าหมายรับซื้อข้าวเปลือกความชื้น 15% ไว้ที่ 8,500 บาทต่อตัน หากชาวนาขายข้าวเกี่ยวสดให้กับสหกรณ์จะได้ราคา 7,500 บาทต่อตัน บวกค่าฝากเก็บอีก 1,000 บาทต่อตัน เมื่อรวมกันแล้วจะได้ราคาตามเป้าหมายที่ชาวนาอยากได้คือไม่ตํ่ากว่า 8,500 บาทต่อตัน แต่ปัญหาในตอนนี้คือ ในเรื่องการขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพื่อใช้สิทธิ์เข้าร่วมโครงการ ปัจจุบันมีเกษตรกรที่ทำนาปรังมาขึ้นทะเบียน 4.6 ล้านไร่ (ข้อมูลวันที่ 21 ก.พ. 68) จากที่ประเมินไว้ 10 ล้านไร่ จำนวนที่หายไปเนื่องจากเกษตรกรไม่มาขึ้นทะเบียน ซึ่งมีความเป็นห่วง เพราะผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการได้ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเท่านั้น”
ส่วนโครงการช่วยชดเชยดอกเบี้ยสินเชื่อโรงสี 6% ในการเก็บสต๊อกข้าวเพื่อจูงใจซื้อข้าวจากเกษตรกรเบี้ย เมื่อคำนวณเงินดอกเบี้ย 2 เดือน ตกประมาณ 80 บาทต่อตันต่อเดือน เพื่อให้โรงสีซื้อข้าวเปลือกในราคานำตลาด 200 บาทต่อตัน ในส่วนนี้ที่ประชุมผู้แทนโรงสีขอไปดูรายละเอียดในสัญญาอีกครั้ง ซึ่งทางเอกชนก็เกรงว่าจะมีปัญหากับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่า เงินที่จ่ายมาใช้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์หรือไม่ และจะใช้หลักฐานอะไรยืนยันว่าซื้อนำตลาด 200 บาทต่อตันจริง
แหล่งข่าวจากวงการค้าข้าว กล่าวว่า การจำนำยุ้งฉางในส่วนสหกรณ์ “ข้าว” เป็นของ ธ.ก.ส. เพราะใช้เงิน ธ.ก.ส.ซื้อ โดยการปล่อยสินเชื่อ หรือออกใบประทวน แล้วเมื่อรับซื้อข้าวจากชาวนาก็จะนำข้าวไปเก็บไว้ที่โรงสี ซึ่งทรัพย์นี้เป็นของ ธ.ก.ส. (ปัญหาคือโรงสีภาคกลางไม่มีโกดังเก็บข้าว) หากราคาข้าวตกตํ่ากว่าที่ซื้อไว้ คาดชาวนาทิ้งข้าวไม่มาไถ่ถอนแน่ แต่ถ้าโรงสีเข้ามาซื้อโดยใช้เงินทุนของตัวเองซื้อข้าว โดยได้ค่าบริหารจัดการจากภาครัฐ 500 บาทต่อตัน คำถามคือกรรมสิทธิ์ข้าวที่ครอบครองนั้นเป็นของโรงสี หรือ ธ.ก.ส. แล้วในการบริหารการขายจะทำอย่างไร รวมถึงการรักษาสต๊อก ค่าเสื่อมคุณภาพข้าวคิดอย่างไร
“ส่วนการเปิดจุดรับซื้อข้าวจากเกษตรกร หากกรมการค้าภายในให้โรงสีไปดำเนินการจะได้ค่าบริหาร จัดการ 500 บาทต่อตันหรือไม่ และหากโรงสีช่วยซื้อในราคานำตลาด 300 บาทต่อตันแล้วได้ค่าบริหารจัดการในส่วนจำนำยุ้งฉางอีก 500 บาทต่อตัน เท่ากับว่าได้ 2 โครงการ 1,000 บาทต่อตันก็มองว่าคุ้ม แล้วจะมีการตรวจสอบอย่างไรว่ามีการซื้อนำตลาดจริง มีอะไรเป็นหลักฐาน เพราะโรงสีไม่สามารถออกใบประทวนได้จะต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นคนออก เช่น องค์การคลังสินค้า หรือองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร โดยใช้หลักฐานการขึ้นทะเบียนเกษตรกรยืนยันสิทธิ์”
สอดคล้องกับแหล่งข่าวจากผู้ส่งออกข้าว ที่กล่าวว่า การรับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนาในราคาที่ไม่สอดคล้องกับกลไกตลาด ทำให้ต้นทุนข้าวส่งออกของไทยมีต้นทุนที่สูง แข่งขันยาก ซึ่งจะไม่ช่วยให้ปริมาณข้าวส่งออกของไทยดีขึ้นเลย จากปัจจุบันราคาข้าวส่งออกของไทยก็สูงกว่าประเทศคู่แข่งขันอย่างอินเดีย และเวียดนามอยู่แล้ว และหากนำไปผลิตเป็นข้าวถุงจำหน่าย ต้นทุนข้าวถุงก็จะเพิ่มขึ้นด้วย จะไปขายในราคาถูกได้อย่างไร หากรับต้นทุนมาแพง
ขณะที่นายยงยุทธ พฤกษ์มหาดำรง นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย กล่าวว่า พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ โดยได้แจ้งกับสมาชิกไปว่า บริษัทใดสนใจเข้าร่วมโครงการผลิตข้าวถุงจำหน่ายรอบข้าวนาปรัง จะผลิตในแบรนด์ของบริษัทนั้นๆ ส่งให้ห้างค้าปลีกค้าส่ง และห้างท้องถิ่น เพื่อจำหน่ายในราคาประหยัด และจัดโปรโมชั่นในทุกสาขา เพื่อกระตุ้นการบริโภค ปัจจุบันมูลค่าตลาดข้าวถุงมีประมาณกว่า 8 หมื่นล้านบาทต่อปี ส่วนข้าวที่จะให้ผลิตเป็นข้าวถุง มีปริมาณเท่าไร และจะไปรับข้าวจากที่ไหน ต้องรอความคืบหน้าจากกรมการค้าภายในอีกครั้ง
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,074 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม พ.ศ. 2568