TDRI ยกกรณีศึกษา Grab ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล 1.79 แสนล้าน 

26 ก.พ. 2568 | 07:03 น.

TDRI ระบุแพลตฟอร์มดิจิทัลขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ยกกรณีศึกษา Grab สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 1.79 แสนล้านบาท สร้างงานใหม่กว่า 280,000 ตำแหน่ง และก่อให้เกิดรายได้ครัวเรือนประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท เสนอรัฐควรมีบทบาทสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล

ดร.นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจาก สถาบันเพื่อการวิจัยและพัฒนาประเทศไทย   ทีดีอาร์ไอ เปิดเผยว่า การศึกษาดังกล่าวมุ่งเน้นวิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยเลือก Grab เป็นกรณีศึกษาเนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่มีบริการหลากหลาย ทั้งด้านการเดินทาง การสั่งอาหาร และการขนส่ง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อระบบเศรษฐกิจไทย

TDRI ยกกรณีศึกษา Grab ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล 1.79 แสนล้าน 

โดยจากการศึกษาพบว่าในปี 2566 กิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงจรธุรกิจของ Grab ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจมูลค่า 1.79 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็นมูลค่า1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) นอกจากนี้ยังช่วยสร้างงานใหม่กว่า 280,000 ตำแหน่ง และก่อให้เกิดรายได้ครัวเรือนประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท
 

ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นว่า แพลตฟอร์มดิจิทัลมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยานยนต์ พลังงาน การสื่อสาร การเงิน อาหาร และค้าปลีก โดยสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ในวงกว้าง

TDRI ยกกรณีศึกษา Grab ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล 1.79 แสนล้าน 

ขณะที่ รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก จากสถาบันบัณฑิพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) กล่าวว่าแนวโน้มของ Gig Worker หรือแรงงานอิสระที่ทำงานผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Y และ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นและอิสระในการทำงาน โดยแนวโน้มดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกับระดับโลก ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะมีตำแหน่งงานใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 170 ล้านตำแหน่ง แต่ขณะเดียวกันก็จะมีบางตำแหน่งหายไป 92 ล้านตำแหน่ง

ดังนั้น ภาครัฐจำเป็นต้องมีนโยบายรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน อาทิ การปรับหลักสูตรการศึกษา การส่งเสริมการพัฒนาทักษะใหม่ (Upskill และ Reskill) และการกำหนดมาตรการคุ้มครองสิทธิแรงงานกลุ่มนี้ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมั่นคงและมีสวัสดิการที่เหมาะสม

แม้ว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลจะมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายด้านกฎระเบียบและการกำกับดูแล ภาครัฐต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น การรับมือกับปัญหาสินค้าไม่ได้คุณภาพ (Misrepresentation), การป้องกันการหลอกลวงออนไลน์ (Scams) และการคุ้มครองผู้บริโภค

หนึ่งในมาตรการล่าสุดที่ช่วยแก้ไขปัญหาคือ มาตรการหน่วงเงิน ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบสินค้าก่อนชำระเงิน หากพบว่าสินค้าไม่ตรงปก สามารถหยุดการจ่ายเงินและส่งคืนได้ภายใน 7 วัน มาตรการนี้ถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างความไว้วางใจระหว่างแพลตฟอร์ม ผู้บริโภค และผู้ประกอบการรายย่อย

สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบาย ในการสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมนวัตกรรมนั้นมองว่าภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยควรดำเนินการใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. การส่งเสริมการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น การใช้แพลตฟอร์มในการให้บริการภาครัฐ ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการรายย่อย

 2. การกำกับดูแลที่สมดุลและโปร่งใส - ควรกำหนดมาตรการที่ปกป้องสิทธิของผู้ใช้บริการและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม และ 3. การสนับสนุนแรงงาน Gig Worker และ MSME - ควรมีมาตรการรองรับด้านสวัสดิการและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

เศรษฐกิจแพลตฟอร์มเป็นแนวโน้มที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง หากภาครัฐและภาคเอกชนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่ยังสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วนอีกด้วย โดยการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจไทยสู่ยุคดิจิทัลยังคงต้องการการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง และการกำหนดนโยบายที่รอบคอบเพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจแพลตฟอร์มได้อย่างเต็มศักยภาพ