เดินหน้า "อู่ตะเภา" ไม่รอไฮสปีดเทรน เล็งลดไซส์เทอร์มินอลเหลือครึ่งเดียว

26 ก.พ. 2568 | 06:02 น.

เล็งลดไซส์ “สนามบินอู่ตะเภา” รับการขับเคลื่อนโครงการอู่ตะเภา-เมืองการบิน 6,500 ไร่ พื้นที่ EEC “คีรี” ยืนยันเดินหน้าโครงการต่อไม่รอไฮสปีดเทรน หลังล่าช้าชี้กระทบโครงการหนัก เล็งปรับอาคารผู้โดยสารเหลือครึ่งเดียว

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด (UTA) เปิดเผยว่า บริษัท จะเดินหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก บนพื้นที่ 6,500 ไร่ภายในพื้นที่ของ EEC มูลค่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรวมกว่า 290,000 ล้านบาท โดยไม่รอโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งมีความล่าช้าและยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเริ่มงานก่อสร้างได้เมื่อใด

ปัจจุบันโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ ได้ลงนามในสัญญาไปแล้ว และกำลังจะครบ 5 ปี ในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 แต่ยังไม่สามารถผลักดันโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลักออกมาได้ โดยที่ผ่านมาโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ได้มีการแก้ไขสัญญา ทำให้โครงการไม่สามารถเริ่มต้นการก่อสร้างได้ และส่งผลกระทบต่อโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ ออก NTP ไม่ได้

นายคีรี กล่าวว่า บริษัทรอการดำเนินการต่าง ๆ มาเป็นเวลาเกือบ 5 ปีแล้ว และคงไม่สามารถรอต่อไปได้

“ถ้าเรารอไม่ได้ ก็มีวิธีการอยู่ คือ การต่อสู้ทางคดี หรือวิธีพยายามหารือและร่วมมือให้ EEC เริ่มต้นได้ ซึ่งเราเลือกวิธีไปเริ่มต้นแทน เพราะคงไม่มีประโยชน์ที่จะไปฟ้องร้องกัน และไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เศรษฐกิจ”

สำหรับขั้นตอนต่อจากนี้ บริษัทยืนยันความพร้อมที่จะเดินหน้าโครงการต่อ โดยเตรียมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ สกพอ. เพื่อตกลงรายละเอียดของโครงการ และเตรียมปรับลดขนาดของโครงการลงทุนจากเดิมเหลือประมาณ 40-50% ก่อน โดยเฉพาะงานก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร จากเดิมรองรับผู้โดยสารประมาณ 12 ล้านคนต่อปี อาจปรับเหลือเพียง 5 ล้านคนต่อปี

ขณะที่เมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งเดิมประเมินมูลค่าการลงทุนสูงสุดกว่า 600,000 ล้านบาท ภายใต้พื้นที่ 1,200 ไร่ ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุได้ว่า จะปรับขนาดลงลงเหลือเท่าใด เพราะรอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายของรัฐก่อน

“บริษัทพร้อมเดินหน้าต่อกับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เมื่อได้สิทธิที่เราควรจะได้ ซึ่งเรายินดีและพร้อมเดินหน้าโครงการทันที โดยขอให้อีอีซี แจ้งความชัดเจนให้บริษัทเร็วที่สุด” นายคีรี ระบุ

นายวีรวัฒน์ ปัณฑวังกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) กล่าวว่า ในการปรับลดขนาดของโครงการลงทุนลงนั้น ไม่จำเป็นต้องแก้ไขสัญญา เพราะในสัญญาได้เปิดโอกาสให้คู่สัญญาหารือกันได้ ซึ่งมีความยืดหยุ่นมากกว่าสัญญาของโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ แต่การปรับปรุงรายละเอียดโครงการจะต้องตั้งมีเหตุมีผล โดยไม่ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขสำคัญในสัญญา ก็สามารถดำเนินการผ่านการหารือร่วมกันได้

ขณะที่การปรับแบบก่อสร้างนั้น จะมีผลกระทบต่องานก่อสร้างอุโมงค์รถไฟความเร็วสูงที่มีพื้นที่เชื่อมต่อภายใต้อาคารผู้โดยสารหรือไม่นั้น เห็นว่า ภาครัฐจะต้องหาข้อสรุปถึงปัญหาดังกล่าวว่า ถ้าโครงการรถไฟความเร็วสูงยังไม่สามารถดำเนินการได้ หากจะยังต้องการให้เตรียมพื้นที่ไว้รองรับรถไฟความเร็วสูง ก็ต้องแจ้งมาให้ชัดเจนว่าจะมีทางออกอย่างไร เพราะไม่อย่างนั้นจะกระทบกับการลงทุนโดยรวมของโครงการ และรัฐต้องจัดลำดับความสำคัญให้ชัดเจนต่อไปด้วย

ส่วนการจัดสิทธิประโยชน์พิเศษภายใต้โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ นั้น ปัจจุบันภายใต้กฎหมายของ EEC สามารถให้สิทธิประโยชน์กับนักลงทุนได้ ทั้งสิทธิประโยชน์ด้านภาษี และที่ไม่ใช่ภาษี แต่การจะออกมาทั้งหมดก็ต้องมีการออกกฎหมายจากกระทรวงการคลังเข้ามารองรับก่อน ซึ่งเชื่อว่าสามารถดำเนินการได้

“ถ้าไม่มีรถไฟความเร็วสูงก็ต้องกลับมานั่งคิดว่า สิทธิประโยชน์ที่รัฐจะให้มีอะไร และทาง EEC ต้องบอกคอนเซ็ปต์โครงการให้ชัดว่า ต่อไปโครงการนี้จะใช้รองรับคนไทยเดินทางท่องเที่ยว หรือรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือสร้างรถไฟความเร็วสูงจะให้คนกรุงเทพฯเดินทางมาใช่หรือไม่ ทั้งหมดนี้ก็ต้องบอกให้ชัด เพราะการก่อสร้างในแต่ละคอนเซ็ปต์จะลงทุนไม่เหมือนกัน หากเรื่องเหล่านี้ชัดการลงทุนจะได้เริ่มต้นได้ในทันที” นายวีรวัฒน์ กล่าว