ชาวนาที่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านราคาที่ลดลง เนื่องจากปัจจัยหลายประการในตลาดโลกและปริมาณผลผลิตนาปีที่เพิ่มขึ้น ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ได้เร่งดำเนินการหาทางออกเพื่อช่วยเหลือชาวนาอย่างเร่งด่วน
ราคาข้าวในตลาดโลกได้รับผลกระทบอย่างมากจากการที่อินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้ง ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกปรับตัวลดลง ประกอบกับปริมาณผลผลิตข้าวนาปีในประเทศไทยที่ออกสู่ตลาดมากขึ้น ทำให้ราคาข้าวเปลือกภายในประเทศได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เป็นประธานการประชุมร่วมกับพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อติดตามสถานการณ์สินค้าเกษตรสำคัญโดยเฉพาะข้าว และสั่งการให้พาณิชย์จังหวัดเร่งดำเนินมาตรการรองรับและช่วยเหลือเกษตรกร
คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาด เตรียมเสนอมาตรการเร่งด่วนต่อคณะกรรมการ นบข. ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีมาตรการสำคัญ ได้แก่:
ปริมาณ: 1.5 ล้านตัน
วงเงิน: 1,219.13 ล้านบาท
ช่วยเหลือค่าฝากเก็บ: 1,500 บาทต่อตัน
เงื่อนไข: เก็บข้าว 1-5 เดือน แบ่งเป็น 2 กรณี
* กรณีเก็บในยุ้งเกษตรกร: เกษตรกรได้รับเงินเต็มจำนวน 1,500 บาทต่อตัน
* กรณีเก็บในสหกรณ์: สหกรณ์ได้รับ 500 บาทต่อตัน เกษตรกรได้รับ 1,000 บาทต่อตัน
ปริมาณ: 2 ล้านตัน
วงเงิน: 524.40 ล้านบาท
ช่วยอัตราดอกเบี้ยผู้ประกอบการ: 6%
เงื่อนไข: ผู้ประกอบการเก็บสต็อก 2-6 เดือน และรับซื้อราคาสูงกว่าตลาด 200 บาทต่อตันขึ้นไป
ปริมาณ: 3 แสนตัน
วงเงิน: 150 ล้านบาท
รัฐสนับสนุนค่าบริหารจัดการ: 500 บาทต่อตัน
เงื่อนไข: ผู้ประกอบการรับซื้อสูงกว่าตลาด 300 บาทต่อตันขึ้นไป
นายพิชัยได้สั่งการให้จังหวัดที่เป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวนาปรัง โดยเฉพาะในพื้นที่อยุธยา พิจิตร พิษณุโลก และสุพรรณบุรี เตรียมให้ข้อมูลและอธิบายรายละเอียดให้กับเกษตรกร หลังจากที่ประชุม นบข. ได้สรุปมาตรการที่เกี่ยวข้องในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568
พาณิชย์จังหวัดในพื้นที่แหล่งเพาะปลูกข้าวนาปรังต้องเตรียมพร้อมดำเนินมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลโดยทันที โดยให้เร่งประสานกับสถาบันเกษตรกรในพื้นที่เพื่อเข้าร่วมโครงการชะลอการจำหน่ายข้าวเปลือก รวมถึงจัดตลาดนัดข้าวเปลือกให้ครอบคลุมและทั่วถึง
นอกจากมาตรการช่วยเหลือด้านราคาแล้ว นายพิชัยยังเน้นย้ำให้พาณิชย์จังหวัดกำกับดูแลการรับซื้อข้าวของผู้ประกอบการและโรงสีในพื้นที่ให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมต่อเกษตรกร รวมถึงการจำหน่ายปัจจัยการผลิตที่สำคัญ เช่น ปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืช ต้องเป็นไปตามกฎหมายและไม่ให้เกิดการเอาเปรียบเกษตรกร
หากพบว่าพื้นที่ใดประสบปัญหาราคาตกต่ำ พาณิชย์จังหวัดต้องรีบประสานกับกรมการค้าภายใน เพื่อหามาตรการกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่โดยเร็ว