*** ในเวลาที่ตลาดหุ้นไทยขาดทั้งปัจจัยบวกและความเชื่อมั่น ทำให้ไม่ว่าจะเป็นแมลงหวี่ หรือ แมลงวันที่ไหนบินผ่านมา นักลงทุนไทยก็ตกใจ จนมือลั่นเคาะขายหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นหุ้นธนาคาร หุ้นโรงพยาบาล หุ้นน้ำมัน หรือ หุ้นสื่อสาร ที่เคยคิดว่าจะกอดเอาไว้ให้นานที่สุด ออกมาแบบไม่เสียดายของ
ไม่ต้องว่ากันไปถึงอื่นไกล เอาแค่ AOT หุ้นกึ่งผูกขาด (Monopoly) ที่ต้องมาถูก “ขายทิ้ง” จนเสียอาการที่เป็นปัญหาเล็ก ที่เกิดจากความหละหลวมในการสื่อสารว่าจริงๆ “คิงเพาเวอร์” เพียงร้องขอให้มีการปรับลดดอกเบี้ยค้างจ่ายผลตอบแทนดิวตี้ฟรีจาก 18% เหลือประมาณ 9% แต่ไม่ได้ถึงขั้นปรับแก้สัญญา เพื่อปรับลด Minimum Guarantee แต่อย่างใด
หรือหากจะยกตัวอย่างไปทาง WHA หุ้นพื้นฐานดีอีกตัว ที่ต้องมาถูก “ตกใจขาย” เพราะผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายลดลงไปบ้าง แต่ขณะเดียวกัน รายได้รวมทั้งปีของบริษัทก็ได้สถิติสูงสุดใหม่ ในขณะที่แนวโน้มธุรกิจของบริษัทก็ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้นอย่างชัดเจน!!!
ว่าแต่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย....
แน่นอนว่าปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ที่พยายาม “แทงกั๊ก” หาความแน่นอนไม่ได้ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่เปลี่ยนฝั่งให้อเมริกา ที่จากเดิมเคยเป็นผู้สนับสนุนต้องกลายมาเป็นคู่วิวาทะรายใหม่ กับยูเครน
ลากยาวมาจนถึงสงครามการค้า ระหว่าง อเมริกา กับ จีน ที่มีแนวโน้วว่าจะรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องความกังวลต่อสถานการณ์ที่ประเทศไทย กำลังถูกเพ่งเล็งว่า มีโอกาสสูงมาก ที่จะถูกอเมริกาประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) เนื่องจากเป็น 1 ใน 3 ประเทศรองลงมาจากเกาหลีใต้ และ อินเดีย เพราะมีส่วนต่างของการนำเข้า และส่งออกสินค้ากับอเมริกาค่อนข้างมาก!!!
แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า กลุ่มคนที่กังวลมากที่สุด กลับกลายเป็นกลุ่มของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่ต่างก็พากันลดความเสี่ยง โดยการขายทิ้งหุ้นออกมาตลอด ในขณะที่ทางภาครัฐ กลับไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมได้ออกมาให้เห็นสักอย่าง...
ว่าแต่ทำไมภาครัฐจึงดูเฉื่อย ทั้งที่ควรจะต้องให้ความสนใจกับปัญหาใหญ่เช่นนี้!!!!
อย่างแรก ถ้าจะบอกว่าเพราะรัฐบาลยัง “ใหม่และขาดประสบการณ์” ในการวางแผนรับมือกับวิกฤตรอบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็ไม่น่าจะใช่ เนื่องจากรัฐบาลนี้รวมเอาบุคคลที่มีฝีมือรุ่นเก๋าเอาไว้มาก บางส่วนก็เป็นคนมือฝีมือรุ่นเก่าที่ถูกส่งต่อมาจากรัฐบาลก่อนๆ และก่อนของก่อนๆๆ จนอาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานอาจทั้งช้าและเฉื่อย
ขณะที่บางส่วนก็มาจากนักการเงินและนักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ ที่แม้จะยังไม่ทันได้เห็นอะไรมากนัก แต่ก็เป็น “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ที่กล้าจะชนได้ทุนอย่างแต่ยังไม่มีเวทีให้ได้แสดงฝีมือ
อย่างที่สอง ก็อาจเป็นไปได้ ที่กำลังมีการปีนเกลียว จนทำให้เกิดการงัดข้อกันภายในพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพรรคแกนนำอย่าง “เพื่อไทย” และพรรคร่วมระดับแกนนำอย่าง “ภูมิใจไทย” ที่เริ่มไม่พอใจ หลังจากที่ฐานเสียงในหลายจังหวัดเริ่มถูกเจาะไข่แดง จนมองว่าเป็น “เพื่อนกินเพื่อนกัน...รู้ไม่ทันเอาเมียกันไปกิน”
เป็นเหตุให้ต่างฝ่ายต่างเอาคืน ยกตัวอย่างจากการขุดคุ้ยเรื่องสนามกอล์ฟกันไปมา จนถึงขั้นหลุดคำว่า "หน้าตัวเมีย" ให้ชาวบ้านเค้าได้ยิน จนบางครั้งเจ๊เมาธ์ ก็มองว่า ดูเหมือนกับว่านักการเมืองทั้งหลาย จะพากันลืมไปว่า “ภัยใหญ่” กำลังก่อตัวขึ้น จนอาจส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศ จะต้องล้มลงไปอีกครั้ง ซึ่งถ้าหากควบคุมไม่ได้...ไม่ว่าจะเป็น “เพื่อไทย” หรือ “ภูมิใจไทย” ก็อาจไม่เหลือเวทีให้โชว์ฝีปากและฝีมือให้ใครได้เห็นอีกแล้ว
ท้ายที่สุด ก็ยังคงเป็นเรื่องเก่า ที่เจ๊เมาธ์มองว่า เป็นการขาดปัจจัยเด่น...ขาดแรงดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามา รวมไปถึง “สะสม” แต่ปัญหาจนล้นเอาไว้ส่งผลให้นักลงทุนเก่าๆ ต้องหาทางถอย เพราะกลัวหมดตัว หรือเพราะ “ถัว” จนหมดทุน นอกจากนี้ยังมีประเด็นความเชื่อมั่นที่หดหาย ที่ยังไม่เห็นมาตรการชัดๆ กู้คืนความเชื่อมั่น ออกมาเลย
เจ๊เมาธ์ก็เล่าไปเรื่อยตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวยนะคะ เพราะเชื่อได้ว่า ถ้าหากระบบภายในของเรายังจัดการได้ไม่ดีแล้ว จะไปต่อสู้กับวิกฤตการณ์ และปัญหาใหญ่ที่มาจากภายนอกได้อย่างไร คำพูดที่ว่า “สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” มันก็เป็นแบบนี้เองเจ้าค่ะ