บวท.เจาะตลาดญี่ปุ่น ทุ่มงบ 3.6 พันล. ลงทุนหอบังคับการบิน 3 สนามบิน

ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เร่งขยายความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบิน เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สามารถรับนักท่องเที่ยวได้เพียงพอ 

ล่าสุดจากการศึกษาดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์ว่า สนามบินฟูกูโอกะ ซึ่งเป็นสนามบินหลักของภูมิภาคคิวชู ประเทศญี่ปุ่น เป็นคู่เทียบและแบบอย่างสำหรับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Benchmark) ถือเป็นแนวทางในการเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการจราจรทางอากาศ เนื่องจากมีลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกับสนามบินภูเก็ตและสนามบินหลักของภูมิภาคอื่น ๆ ในไทย

โดยสนามบินฟูกูโอกะ เดิมเป็นสนามบินที่มีทางวิ่งเส้นเดียว (Single Runway) ที่มีความสามารถในการรองรับเที่ยวบินได้สูงที่สุดของญี่ปุ่น โดยรองรับได้ถึง 38 เที่ยวบินต่อชั่วโมง 

ขณะเดียวกันบวท. ได้ศึกษาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินของสนามบินภูเก็ต ซึ่งเป็นสนามบินที่มีเที่ยวบินหนาแน่นเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ รองจากสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง มีความสามารถในการรองรับของทางวิ่ง 25 เที่ยวบินต่อชั่วโมง

ทั้งนี้ไทยได้เตรียมขยายตลาดทางการบินรองรับนักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่น โดยบวท.จำเป็นต้องศึกษาแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการเพิ่มศักยภาพและยกระดับการให้บริการการเดินอากาศ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างประโยชน์และสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้ประเทศชาติ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคต่อไป
 

นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ให้สัมภาษณ์ว่า  ขณะนี้บวท. ยังมีแผนในการนําระบบติดตามอากาศยานภาคพื้น Multilateration (MLAT) รวมทั้งระบบ Digital Tower มาใช้ในการจัดการจราจรทางอากาศ

ทั้งนี้เพื่อช่วยในการบริหารจัดการจราจรภายในพื้นที่สนามบินได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินของสนามบินภูเก็ต ให้ได้ 35 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ภายในปี 2568  

ในปีนี้บวท.มีแผนลงทุนหอบังคับการบิน วงเงิน 3,600 ล้านบาท จำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย  ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2 (ท่าอากาศยานล้านนา) อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน รวมถึงท่าอากาศยานอันดามัน อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ขณะนี้บวท.ได้ดำเนินการออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จ 

นายณพศิษฏ์ สัมภาษณ์ต่อว่า ตามแผนลงทุนหอบังคับการบินในท่าอากาศยานอู่ตะเภา วงเงิน 1,200 ล้านบาท ในปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมขอใช้เงินกู้เงินในประเทศ ซึ่งเงินกู้จำนวนนี้จะไม่ได้เป็นเงินกู้ที่รัฐบาลค้ำประกันจึงไม่เป็นหนี้สาธารณะ คาดว่าจะขอกู้จากธนาคารกรุงไทยหรือธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) คาดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2572 

ขณะที่แผนลงทุนหอบังคับการบินในท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2 (ท่าอากาศยานล้านนา) อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน วงเงิน 1,200 ล้านบาท รวมถึงท่าอากาศยานอันดามัน อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา วงเงิน 1,200 ล้านบาท 
 

อย่างไรก็ดีในปัจจุบันมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นผู้ศึกษาความเป็นไปได้ของแผนดังกล่าวทั้ง 2 แห่ง โดยใช้งบศึกษาเชิงเศรษฐกิจและการเวนคืนที่ดินจากบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. วงเงิน 20 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2573 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเวนคืนที่ดินของโครงการฯ

สำหรับการลงทุนหอบังคับการบินทั้ง 3 แห่งนั้น พบว่าสนามบินเหล่านี้จะดำเนินการก่อสร้างเป็นสนามบิน 2 รันเวย์ สามารถรองรับเที่ยวบินมากกว่า 100,000 เที่ยวต่อปี จากปัจจุบันที่มีเพียงสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินภูเก็ต มีศักยภาพรองรับเที่ยวบินได้ถึง 100,000 เที่ยวต่อปี

“ขณะนี้เทคโนโลยีการบินมีความทันสมัยสามารถเพิ่มศักยภาพการบินได้ เนื่องจากขณะนี้มีรันเวย์จำนวนมากที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มศักยภาพเมื่อเทียบกับสนามบินที่มี 2 รันเวย์ ซึ่งการลงทุนครั้งนี้จะครอบคลุมตามแผนการขยายศักยภาพสนามบินเพื่อรองรับเป้าหมายของประเทศที่จะรับเที่ยวบิน 2 ล้านเที่ยวบินต่อปี หากมีสนามบินบริเวณใกล้กันจะเป็นคลัสเตอร์สามารถเชื่อมโยงและใช้ประโยชน์ทางการบินร่วมกันได้” นายณพศิษฏ์ กล่าว 

หากแผนลงทุนของบวท.ตลอดจนการขยายตลาดทางการบินรองรับนักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นสำเร็จเป็นไปตามแผนเชื่อว่าจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวได้อย่างก้าวกระโดดแน่นอน 

เมกะโปรเจ็กต์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,081 วันที่ 23 - 26 มีนาคม พ.ศ. 2568