"ศุภชัย" เตือนรับมือโลกหลายขั้ว สงครามการค้าสะท้อนกลับสหรัฐฯ

14 มี.ค. 2568 | 09:13 น.
อัปเดตล่าสุด :14 มี.ค. 2568 | 12:01 น.
1.8 k

"ดร.ศุภชัย" วิเคราะห์ปรากฏการณ์ “ทรัมป์ 2.0” ตอกย้ำการเปลี่ยนผ่านสู่โลกหลายขั้ว นโยบายภาษี สร้างผลกระทบย้อนกลับเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอย แนะ 6 แนวทางรับมือสงครามการค้า

KEY

POINTS

  • โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากการมีมหาอำนาจเดียว (สหรัฐฯ) สู่โลกหลายขั้วอำนาจ (Multipolar World) โดยมีจีนเป็นตัวละครสำคัญที่ท้าทายสหรัฐฯ

  • นโยบายภาษีทางการค้าของทรัมป์กำลังส่งผลย้อนกลับให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย และทำให้เกิดการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า เช่น จีนและแคนาดา

  • ไทยและอาเซียนอยู่ในสถานะที่ดีในสงครามการค้าเพราะมีการกระจายตลาดการส่งออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกอย่างสมดุล ไม่พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป

  • แนะ 6 แนวทางรับมือสงครามการค้า ได้แก่ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, มีนโยบายอุตสาหกรรมที่ชัดเจน, เร่งเจรจาการค้าเสรี, ปรับโครงสร้างภาษีศุลกากร, เพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ และร่วมมือกับอาเซียนในเวทีโลก

ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ให้ความเห็นเกี่ยวกับการกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 หรือที่เรียกว่า “ทรัมป์ 2.0” นั้น ไม่ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก แต่เป็นเพียงการตอกย้ำปรากฏการณ์การเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นมานานแล้ว

ในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับฐานเศรษฐกิจ ดร.ศุภชัย ได้วิเคราะห์ถึงพัฒนาการของระเบียบโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากโลกที่มีสหรัฐฯ เป็นมหาอำนาจเดียว สู่โลกที่มีหลายขั้วอำนาจ (Multipolar World) โดยมีจีนเป็นตัวละครสำคัญที่ท้าทายความเป็นเจ้าของสหรัฐฯ

การเปลี่ยนผ่านสู่ระเบียบโลกหลายขั้วอำนาจ

“ถ้ามองระบบโลก ภูมิรัฐศาสตร์โลก ภูมิเศรษฐศาสตร์โลก ระเบียบโลกนี้เริ่มค่อยๆ ขยับเปลี่ยนแปลงมาหลายปีแล้ว” ดร.ศุภชัย กล่าว โดยชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงชัดเจนเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2001 เมื่อจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก ซึ่งตอนนั้นจีนมีบทบาทเรื่องการค้าค่อนข้างน้อย เป็นที่ 10 ของโลกในเรื่องของระดับการค้าการส่งออก แต่ภายในไม่กี่ปี จีนกลายมาเป็นเบอร์หนึ่งของโลก

การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในระเบียบโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญ ซึ่งเดิมถูกครอบงำโดยประเทศตะวันตก สะท้อนจากการยอมให้คนจากประเทศกำลังพัฒนาเข้าไปเป็นคนบริหารงานระบบที่เป็นระเบียบโลกสำคัญ อย่าง WTO ซึ่งการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกไม่ได้มาจากการเติบโตของขั้วอำนาจใหม่เท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับการเสื่อมถอยของมหาอำนาจเดิมด้วย

การเสื่อมถอยนี้เห็นได้ชัดเจนในวิกฤตการเงินโลกปี 2008-2009 ที่เริ่มต้นในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเสื่อมสลายทางการเงินอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการล่มสลายของสถาบันการเงินสำคัญในสหรัฐฯ และยุโรปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น Silicon Valley Bank, Credit Suisse และอื่นๆ หลังจากนั้นก็เริ่มเห็นถึงความเสื่อมถอยทางด้านการผลิตและอุตสาหกรรมของประเทศตะวันตก

ดร.ศุภชัย มองว่า ปรากฏการณ์ “ทรัมป์ 2.0” ไม่ใช่ต้นเหตุ แต่เป็นอาการที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมานานแล้ว การที่ทรัมป์ใช้วาทกรรม “Make America Great Again” หรือ “America First” สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับความจริงว่าสหรัฐฯ ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิมแล้ว และต้องพยายามกู้คืนความยิ่งใหญ่

นโยบายของทรัมป์ไม่ได้แตกต่างจากนโยบายของโจ ไบเดน ในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการต่อต้านจีน เห็นได้จากนโยบายที่ทรัมป์ทำไว้ในช่วงเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก พอไบเดนเข้ามาก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไร ไม่ได้ยกเลิกเลยนอกจากนี้ไบเดนยังเพิ่มภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนถึง 100% และออกกฎหมาย Inflation Reduction Act ที่มีเป้าหมายกีดกันการแข่งขันทางเศรษฐกิจจากจีน

“กับดักธูซิดิดีส”กับการดิ้นสุดท้ายของมหาอำนาจ

ดร.ศุภชัย กล่าวถึงแนวคิดที่เรียกว่า “Thucydides Trap” หรือ “กับดักธูซิดิดีส” ซึ่งมาจากนักประวัติศาสตร์กรีกที่เขียนเกี่ยวกับสงครามระหว่างสปาร์ตาและเอเธนส์ว่า ใน 16-17 ครั้งของการเปลี่ยนแปลงของอำนาจใหญ่ 10 กว่าครั้ง 14 ครั้ง มันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ประเทศที่เป็นยักษ์ใหญ่อยู่แล้ว ยอมที่จะรับว่าตัวเองเวลานี้มีบทบาทรอง ทำให้เกิดการดิ้นสุดท้าย สุดท้ายจบด้วยสงคราม

ดร.ศุภชัย ยกตัวอย่างของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ที่เคยพูดถึงแนวคิดนี้ในการประชุมระดับโลก โดยสี จิ้นผิง แสดงความเข้าใจถึงความเสี่ยงของ “Thucydides Trap” และเตือนโลกไม่ให้ตกอยู่ในกับดักนี้ โดยการพบกันระหว่างสี จิ้นผิง กับ เฮนรี คิสซินเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในปี 2023 ก่อนที่คิสซินเจอร์จะเสียชีวิต ทั้งสองตกลงกันว่าโลกใบนี้ใหญ่พอสำหรับสองประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ และจีนที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ และหากทั้งสองประเทศต่อสู้กัน ไม่มีฝ่ายใดจะได้ประโยชน์

\"ศุภชัย\" เตือนรับมือโลกหลายขั้ว สงครามการค้าสะท้อนกลับสหรัฐฯ

นโยบายภาษีทรัมป์ สะท้อนกลับสหรัฐฯ

ดร.ศุภชัย มองผลกระทบจากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศคู่ค้าทั่วโลกว่านโยบายดังกล่าวกำลังส่งผลย้อนกลับให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เองเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอย แม้ว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีความแข็งแกร่งก็ตาม

“การที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีกับประเทศต่างๆ กำลังทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย และสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ การตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศกำลังทำให้สหรัฐฯ ได้รับผลกระทบที่สั่นสะเทือนมากขึ้น” ดร.ศุภชัย กล่าว

ขณะนี้จีนได้เริ่มดำเนินมาตรการตอบโต้โดยการชะลอการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรอเมริกัน ขณะเดียวกัน แคนาดาซึ่งเป็นพันธมิตรทางการค้าที่สำคัญของสหรัฐฯ กำลังพิจารณาการขึ้นภาษีส่งออก (Export Premium) สำหรับสินค้าด้านพลังงานที่ส่งไปยังสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ดร.ศุภชัย ยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐฯ ซึ่งพึ่งพาชิ้นส่วนจากต่างประเทศเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมดว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ในอเมริกาใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศเกือบครึ่งหนึ่ง หากมีการขึ้นภาษีนำเข้า จะทำให้ต้นทุนการผลิตแพงขึ้นมาก ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในประเทศและความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ ในตลาดโลก

ด้วยเหตุนี้ สหรัฐฯ จึงยังไม่ได้ตัดสินใจขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าจากยุโรปเพิ่มเติม เนื่องจากตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับห่วงโซ่อุปทานของตนเอง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางการค้ากับเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญสำหรับบริษัทรถยนต์อเมริกัน

คาดเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์บางส่วนเริ่มคาดการณ์ว่า ความขัดแย้งทางการค้าที่ทวีความรุนแรงอาจนำไปสู่การเติบโตติดลบของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้ แต่ดร.ศุภชัย ยังไม่เชื่อว่าสถานการณ์จะรุนแรงถึงขั้นนั้น แต่ก็ยอมรับว่ามีสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีไบเดนนั้นแข็งแกร่งมาก มีการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการจ้างงานที่ดี แต่ขณะนี้กำลังเริ่มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด

ผลกระทบจากสงครามการค้าไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่สหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบการค้าโลกโดยรวม เมื่อประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีต่างหันไปขยายตลาดนอกสหรัฐฯ ทดแทน ทำให้สัดส่วนการค้าของสหรัฐฯ ในระบบการค้าโลกลดลง และในที่สุดปริมาณการค้าโลกทั้งหมดก็จะหดตัวตามไปด้วย

“ประเทศที่ถูกขึ้นภาษีจะพยายามหาตลาดนอกสหรัฐฯ ทดแทน ทำให้การค้าระหว่างประเทศนอกสหรัฐฯ ขยายตัวมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน สัดส่วนของสหรัฐฯ ในการค้าโลกจะลดลง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อระบบการค้าโลกโดยรวม เพราะเมื่อสหรัฐฯ หดตัวลง การค้าโลกทั้งหมดก็จะหดตัวตามไปด้วย” ดร.ศุภชัย อธิบาย

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำของโลกได้ปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลง เนื่องจากความขัดแย้งทางการค้าที่ทวีความรุนแรง การชะลอตัวดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อทุกประเทศรวมถึงสหรัฐฯเอง ซึ่งต้องการการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ผลกระทบต่อภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก

ผลกระทบจากสงครามการค้าจะส่งผลต่อทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในยุโรปซึ่งกำลังอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่เข้มแข็งนัก และพึ่งพาการส่งออกไปยังจีนเป็นอย่างมาก เมื่อจีนเศรษฐกิจชะลอตัวลง ยุโรปจึงได้รับผลกระทบอย่างหนัก

แม้ว่าล่าสุดเศรษฐกิจจีนจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้วก็ตาม ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปกับจีนที่แนบแน่นยังอาจทำให้สหรัฐฯ หันมาใช้มาตรการทางการค้ากับยุโรปเพิ่มเติม เพราะสหรัฐฯ มองว่าประเทศในยุโรปเป็นพันธมิตรกับจีนมากเกินไป หากยุโรปยังดำเนินความสัมพันธ์กับจีนเหมือนเดิม สหรัฐฯ อาจพิจารณาใช้มาตรการลงโทษทางการค้าเพิ่มเติม
นโยบายไม่แน่นอน

นโยบายไม่แน่นอนก่อวิกฤตความเชื่อมั่น

ดร.ศุภชัย แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (Business Confidence) กำลังทรุดตัวอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่ากังวลมากในระยะยาว มากกว่าผลกระทบจากอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้น และเชื่อว่านโยบายที่ออกมาไม่น่าจะยั่งยืน เพราะทุกคนที่พูดคุยด้วยในต่างประเทศมองว่า นโยบายที่ไม่แน่นอน เดี๋ยวเก็บภาษี เดี๋ยวไม่เก็บ เดี๋ยวเก็บ 10% เดี๋ยวเก็บ 20% ไม่ได้แสดงถึงความสามารถในการเป็นผู้นำ แต่แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในการบริหารเศรษฐกิจ

WTO แก้ไขความขัดแย้งทางการค้า

ดร.ศุภชัย กล่าวถึงความพยายามในการแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าผ่านกลไกขององค์การการค้าโลก (WTO) แต่ปัจจุบันกลไกการระงับข้อพิพาทของ WTO กำลังประสบปัญหา เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่ให้การสนับสนุนในการแต่งตั้งผู้พิพากษาใหม่เข้าสู่องค์คณะอุทธรณ์ (Appellate Body) แม้ว่าการประชุมที่เจนีวาเมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นว่าไม่มีประเทศใดเห็นด้วยกับมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ

แต่ปัญหาคือ การฟ้องร้องผ่าน WTO ในปัจจุบันไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสหรัฐฯ ได้บล็อกการตั้งองค์คณะอุทธรณ์

อย่างไรก็ตาม ยังมีความพยายามในการหาทางออกผ่านการตั้งอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) เพื่อตัดสินข้อพิพาททางการค้า ซึ่งอาจช่วยบรรเทาปัญหาได้บางส่วน แต่ไม่ควรให้สถานการณ์ลุกลามจนถึงขั้นที่ต้องอาศัยกลไกการระงับข้อพิพาทเป็นหลัก

ดร.ศุภชัย เสนอแนวทางในการเจรจาที่สร้างสรรค์มากกว่าการตอบโต้ ผมเชื่อในแนวคิด “Give to gain” มากกว่าการตอบโต้ เราควรเจรจาอย่างสร้างสรรค์ โดยชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริงและหาทางแก้ไขร่วมกัน เช่น หากสหรัฐฯ มีปัญหาเรื่องภาษี เราอาจยอมปรับลดภาษีบางรายการ แต่ขอให้มีเวลาในการปรับตัวเพื่อลดผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง

“ถ้าอเมริกาไม่ดี โลกก็ไม่ดี” คือการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจไม่ใช่เกมที่มีผลรวมเป็นศูนย์ (Zero-sum Game) แต่เป็นเกมที่ทุกฝ่ายสามารถได้ประโยชน์ร่วมกันได้ หากมีความร่วมมือที่ดี...วิธีคิดของทรัมป์กับทีมเศรษฐกิจของท่านที่คิดว่าจะทำอเมริกายิ่งใหญ่คนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ ในระเบียบโลกใหม่” ดร.ศุภชัย กล่าว

แนะ 6 ทางรอด สงครามการค้าโลก

ส่วนผลกระทบสงครามการค้าของสหรัฐฯต่อไทยว่า ประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในอาเซียน อยู่ในสถานะที่ดีที่สุด เนื่องจากมีการกระจายตลาดการส่งออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกอย่างสมดุล ทั้งจีน สหรัฐฯ และยุโรป ไม่ได้พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป โดยประเทศไทยยังอยู่ในสถานะที่ดีที่สุดในอาเซียน เพราะเรามีการกระจายตลาดไปทั่วโลก ทั้งจีน สหรัฐฯ และยุโรป นอกจากนี้ การกระจายสินค้าส่งออกของเราก็มีความหลากหลายพอสมควร

อย่างไรก็ตามไทยควรกระจายตลาดการค้าให้มากขึ้น โดยเฉพาะการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน (South-South Trade) ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะการจับมือกับประเทศในอเมริกาใต้ และเอเชียกลาง ซึ่งเศรษฐกิจกำลังเติบโตและมีทรัพยากรพลังงานที่อุดมสมบูรณ์

ดร.ศุภชัย ให้มุมมองเกี่ยวกับแนวทางการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ ว่า ไทยจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นและอาจต้องยอมรับข้อเรียกร้องบางประการ แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศมากเกินไป โดยการเจรจากับสหรัฐฯ จำเป็นต้องมี “give and take” บ้าง แต่เราต้องไม่ทำในสิ่งที่ทำให้ประเทศเสียหาย เพราะการขึ้นหรือลดภาษีไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะประเทศคู่เจรจาเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อประชาชนในประเทศด้วย

แนะ 6 แนวทางไทยรับมือสงครามการค้า

ดร.ศุภชัย กล่าวว่า สำหรับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกของไทยต้องทำสิ่งต่างๆดังนี้

1.ต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโครงสร้างการส่งออกให้แข็งแกร่ง เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น

2. มีนโยบายอุตสาหกรรมที่ชัดเจน โดยระบุอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก

3. เร่งเจรจาการค้าเสรี โดยเฉพาะกับสหภาพยุโรปซึ่งเป็น ตลาดใหญ่ที่สามารถรับสินค้าไทยได้มาก และอินเดียซึ่งมีวัฒนธรรมใกล้ชิดและมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง

4. พิจารณาโครงสร้างภาษีศุลกากร เพราะโครงสร้างภาษีศุลกากรของไทยค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน ซึ่งอาจต้องมีการปรับเพื่อให้สอดคล้องกับการเจรจากับสหรัฐฯ

5. เพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ เพื่อลดความตึงเครียดทางการค้า ไทยอาจต้องพิจารณาซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น เช่น เครื่องบิน ข้าวโพด ถั่วเหลือง

6. ร่วมมือกับอาเซียนในเวทีโลก ในการผลักดันให้ระบบพหุภาคีแข็งแกร่ง ผ่านการเข้าร่วมประชุมระดับโลกและการเจรจากับประเทศมหาอำนาจ

\"ศุภชัย\" เตือนรับมือโลกหลายขั้ว สงครามการค้าสะท้อนกลับสหรัฐฯ

ห่วงแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี EEC สะดุด

ดร.ศุภชัย ยังกล่าวถึงความพยายามในการปฏิรูปเศรษฐกิจไทยผ่านแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ว่า แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นแผนที่ดีมาก ใช้พื้นฐานของการพัฒนาตามหลักศาสตร์พระราชา เศรษฐกิจพอเพียง 6 แนวทางพัฒนา ความเท่าเทียม พัฒนาการศึกษา คน พัฒนาสิ่งแวดล้อม พัฒนาด้วยการบริหารงานทุกอย่าง

ขณะที่ EEC ก็เป็นการต่อยอดจากการพัฒนาการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก หรืออีสเทิร์นซีบอร์ ที่ดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาจำนวนมาก

แต่ปัญหาสำคัญคือความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย “พอเปลี่ยนรัฐบาลคุณก็เปลี่ยนนโยบาย” ซึ่งทำให้การปฏิรูปเศรษฐกิจเป็นไปอย่างล่าช้า เช่น การสร้างสนามบินสุวรรณภูมิที่ใช้เวลากว่า 20 ปี เนื่องจากความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย ในขณะที่ประเทศอื่นๆ สามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างรวดเร็วกว่ามาก

ทั้งนี้การพัฒนาเศรษฐกิจไม่ควรวัดความสำเร็จด้วยตัวเลขการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดทางสังคมอื่นๆ ด้วย เพราะการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเป็นเพียงตัวเลขเดียวในการวัดการพัฒนา ไม่ครอบคลุมทุกมิติมีข้อจำกัดหลายประการในการวัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แท้จริง

เช่น ไม่รวมเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Economy) ซึ่งมีสัดส่วนสูงในประเทศไทยรวมถึงเศรษฐกิจดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซบางส่วนตัวเลขการเติบโตที่สำคัญที่สุดคือการเติบโตของรายได้ในกลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อยที่สุด 40% ของประเทศ ซึ่งอยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

“ในปัจจุบัน นักเศรษฐศาสตร์ยอมรับว่า GDP เป็นเพียงหนึ่งในหลายตัวชี้วัด ตัวชี้วัดที่สำคัญควรเป็นตัวชี้วัดทางสังคม (Social Indicators) เช่น คุณภาพการศึกษา การเข้าถึงบริการสาธารณสุข การกระจายรายได้ และคุณภาพชีวิตของประชาชน” ดร.ศุภชัย เน้นย้ำ

ดร.ศุภชัย เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจพอเพียงตามศาสตร์
พระราชา โดยระบุว่า “เราไม่ต้องการให้โลกนี้มีนักเลงโต เราต้องการให้โลกนี้มีคนซึ่งมีความรู้สึกที่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น มีความเสียสละ เหมือนที่อยู่ในศาสตร์พระราชาของเรา เหมือนที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านได้ทรงรับสั่งไว้ให้เกิดเศรษฐกิจพอเพียง

“หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเน้นความพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน คือ Soft Power ที่แท้จริงของไทย และเป็นหัวใจของการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development)” ดร.ศุภชัย กล่าว